หนี้เสียยังน่าห่วง กสิกรไทยชี้แนวโน้มแบงก์ไทยปี66 ปรับตัวรับภาพธุรกิจที่ไม่เหมือนเดิม

360
0
Share:
หนี้เสียยังน่าห่วง กสิกรไทย ชี้แนวโน้มแบงก์ ธนาคาร ไทยปี66 ปรับตัวรับภาพธุรกิจที่ไม่เหมือนเดิม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองภาพธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในปี 2566 แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงหนุนจากการท่องเที่ยว แต่ก็ยังถือว่าเป็นการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึง ทั้งในมิติของประเภทธุรกิจ หรือขนาดของธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวในครั้งนี้ ทำให้ธุรกิจแบงก์ไทยในปี 2566 น่าจะให้ภาพการฟื้นตัวที่ระมัดระวังเช่นกัน ขณะที่จุดจับตาหลักจะมีหลายเรื่อง ซึ่งกระทบต่อภูมิทัศน์การทำธุรกิจและการแข่งขัน (Financial Landscape)

โดยคาดว่าสินเชื่อขยายตัวในกรอบระมัดระวัง โดยคาดการณ์สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2566 จะเติบโตในกรอบจำกัด ราว 4.2-5.2% (ค่ากลาง 4.7%) เทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะโต 5.0% ตามผลของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และผลของมาตรการให้ความช่วยเหลือที่หมดลง ขณะที่สินเชื่อที่นำการเติบโตจะมาจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มีความสามารถในการรับมือกับต้นทุนการดำเนินงานที่ยังเพิ่มขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า นอกจากนี้การฟื้นตัวของธุรกิจ ทั้งภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สุขภาพ การส่งออกอาหารและเครื่องดื่ม และค้าปลีก น่าจะให้อานิสงส์เชิงบวกกับผู้ประกอบการรายใหญ่และกลางมากกว่า ส่วนธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกิจการขนาดเล็กที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 20 ล้านบาท ยังไม่ฟื้นตัวดีจากโควิดรอบก่อน สำหรับสินเชื่อรายย่อยปีหน้า น่าจะคงอัตราการเติบโตเท่ากับปี 2565 ภายใต้แรงกดดันจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง

ขณะเดียวกัน มองว่าเอ็นพีแอลอาจไม่ลดลง โดยคาดการณ์ว่าเอ็นพีแอลของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2566 น่าจะอยู่ในกรอบ 2.55-2.80% เทียบกับ 2.65-2.75% ที่คาดไว้ ณ สิ้นปี 2565 ทั้งนี้ นอกจากธุรกิจเอสเอ็มอีแล้ว แรงกดดันด้านคุณภาพสินเชื่อยังอยู่ที่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มีสินเชื่อที่เริ่มมีความเสี่ยงด้านเครดิต (Stage 2) สูงกว่าสินเชื่อรายย่อยตัวอื่นๆ รวมถึงสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน อย่างเช่นบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล

ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยในภาวะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าฟื้นตัวจำกัด จะมีผลบวกที่น้อยลงต่อส่วนต่างดอกเบี้ย (%NIM) เมื่อเข้าสู่ปี 2566 เนื่องจากต้องทยอยรับรู้ต้นทุนเงินฝากประจำที่ปรับขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2565 ขณะเดียวกัน คาดว่าภายใต้เงื่อนไขที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าฟื้นตัวในกรอบจำกัด ทำให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมน่าจะจำกัดตามไปด้วยเพื่อช่วยเหลือลูกค้า แม้ต้นทุนเงินฝากจะปรับขึ้นตามการปรับอัตราเงินนำส่งสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ก็ตาม

ขณะที่ภาระการตั้งสำรองฯ ที่อาจยังไม่สามารถลดลงมากได้นั้น จะยังกดดันกำไรสุทธิ เนื่องจากสถานการณ์แวดล้อมที่ยังไม่นิ่ง ขณะที่ หากเทียบข้อมูลไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าไทยยังมีเอ็นพีแอล สูงกว่าประเทศอื่นๆ จึงทำให้ภาระในการตั้งสำรองฯ สูงกว่าประเทศอื่นๆ จนกดดันการฟื้นตัวของ ROE ตามมา ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ ก็คาดว่าจะปรากฎขึ้นต่อไปในปี 2566 เช่นกัน ผ่านการคาดการณ์กำไรสุทธิของระบบแบงก์ไทยในปีหน้าที่คงจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ในปีนี้ที่ 34% หลังสัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (% Credit Cost) อาจจะยังไม่สามารถลดลงต่ำกว่า 1% ได้ในปีหน้า (คิดเป็นภาระการตั้งสำรองฯ กว่า 1.5 แสนล้านบาท) เทียบกับ 1.2% ในปี 2565 (คิดเป็นภาระการตั้งสำรองฯ ประมาณ 1.7-1.8 แสนล้านบาท)

ในปี 2566 แม้หนี้ครัวเรือนจะมีโอกาสลดลงมาที่สัดส่วนที่ต่ำกว่า 85% ต่อจีดีพี จากผลการเติบโตของจีดีพี (ตัวฐาน) เป็นสำคัญ แต่หนี้ครัวเรือนที่ระดับดังกล่าวก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลกับสถานการณ์การปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายย่อย หรือผู้ประกอบการขนาดเล็กและย่อย ผ่าน Digital Lending แต่ด้วยความจำเป็นในการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จึงทำให้แบงก์ไทยต้องเดินหน้าธุรกิจดังกล่าวต่อเนื่อง โดยพยายามเรียนรู้พฤติกรรมลูกค้า สร้างแรงจูงใจในการชำระหนี้ และสร้างระบบนิเวศที่จะทำให้เข้าถึงข้อมูลออนไลน์ของลูกค้าที่มีความหมายและมากพอต่อการประเมินเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สินเชื่อดิจิทัลทั้งในบริบททั่วไป คงขยายตัวประมาณ 10% มาที่ยอดคงค้างประมาณ 56,050-60,720 ล้านบาท เพียงแต่ด้วยวงเงินสินเชื่อต่อรายที่น้อยและรอบการชำระคืนที่เร็ว คงทำให้สัดส่วนต่อสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งหมดอาจยังไม่เกินระดับ 8%

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ก็ทยอยปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 ทำให้สำหรับทั้งปี 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย (แบงก์ไทย) จะมีกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตจากปีก่อนประมาณ 12.4% มาที่ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท สอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวต่อเนื่องของสินเชื่อ ซึ่งหากผนวกกับค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ที่ลดลงจากปีก่อน ที่มีการตั้งสำรองฯ เชิงรุกแล้ว คาดว่าระบบแบงก์ไทยจะมีกำไรสุทธิประมาณ 2.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 34%