หมอธีระห่วงม.ค.คุมโควิดไม่อยู่ ยอดพุ่งขึ้น 5 เท่าแม้มีการล็อกดาวน์

709
0
Share:

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่าสถานการณ์โควิดทั่วโลก ทะลุ 82 ล้านไปแล้ว พรุ่งนี้อเมริกาจะจบท้ายปีด้วยจำนวนรวมเกิน 20 ล้านคน
.
สำหรับเมืองไทยถึงเวลาที่จะบอกข้อมูลและการคาดการณ์สถานการณ์เพื่อให้เราทุกคนเตรียมรับมือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ดังนี้
.
1) เราเข้าสู่การระบาดซ้ำ/ระลอกสอง/ระบาดใหม่/ระบาดอีกครั้ง…อย่างเต็มตัวแล้ว
.
2) การระบาดซ้ำที่เรากำลังจะเผชิญนี้ แม้ในอนาคตจะดำเนินมาตรการเต็มที่อย่างไรก็ตาม (รวมถึงล็อคดาวน์”หากมี”หลังจากกลางมกราคมเป็นต้นไป ผสมกับการคลายบ้างล็อคบ้างตลอดช่วงเวลาการระบาด) เราจะมีจำนวนการติดเชื้อสูงสุดต่อวันถึงประมาณ 940 คนต่อวัน หรือสูงกว่าระลอกแรก 5 เท่า และดูจะมีความชัดเจนมากแล้วว่าการต่อสู้ศึกระบาดซ้ำครั้งนี้ เราจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน
.
3) จำนวนคนที่คาดว่าจะติดเชื้อทั้งหมดจากการระบาดซ้ำครั้งนี้ประมาณ 23,635-33,088 คน โดยในจำนวนนี้จะเป็นผู้ที่อาการรุนแรงประมาณ 3,546-4,964 คน และมีผู้ป่วยที่ต้องเข้า ICU และ/หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ 1,182-1,655 คน ตาย 237-331 คนหากไม่มีปัญหาขาดแคลนบุคลากร/เครื่องมือ/และยา แต่หากขาดแคลนจะสูงถึง 473-662 คน
.
4) จากการระบาดซ้ำครั้งนี้ คาดว่าไทยจะอัพเลเวลอันดับโลกไปถึงประมาณออสเตรเลียหรือฟินแลนด์ ขณะนี้ดูแล้วเป็นไปได้ยากมากที่จะกดการระบาดไปให้ถึงระดับของฮ่องกง
.
5) ด้วยลักษณะการตัดสินใจเชิงนโยบายปัจจุบัน ทั้งในเรื่องมาตรการที่ไม่เป็นทิศทางเดียวกันและช้ากว่าสถานการณ์ รวมถึงระบบการตรวจคัดกรองโรคที่ไม่เข้มแข็งเพียงพอที่จะรับมือกับการระบาดซ้ำได้ ดังจะเห็นได้จากจำนวนการตรวจที่ทำได้จำกัดมาก นอกจากนี้ยังพบปัญหาความไม่เพียงพอของอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ดังจะเห็นได้จากการขอรับบริจาคจากสาธารณะโดยโรงพยาบาลต่างๆ ที่เป็นด่านหน้าดูแลผู้ป่วย ทำให้คาดการณ์ว่า ระบบสุขภาพอาจประสบปัญหาในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ หลังจากนี้ไปราว 6-8 สัปดาห์ โดยจะมีภาวะขาดแคลนอุปกรณ์ที่จำเป็นในการต่อสู้ ทั้งจากความไม่เพียงพอ หรือการกระจายส่งต่อ และที่จะต้องเตรียมรับมือคือ การจัดการความเสี่ยงต่อบุคลากรทางการแพทย์ทุกระดับ และความเหนื่อยล้า อันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ผลลัพธ์จากการดูแลรักษา และการสูญเสียบุคลากรทั้งจากการติดเชื้อและสาเหตุอื่น
.
6) ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหาเช้ากินค่ำ รวมถึงกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง นอกจากนี้ส่วนตัวแล้วคาดว่าจะเกิดผลกระทบหนักกับโครงการของรัฐที่ได้ดำเนินมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งคงยากที่จะเข็นต่อไปตลอดช่วงระบาดซ้ำรุนแรง เพราะหากฝืนทำต่อ จะวิกฤติหนักจากระบาดระลอกสามแบบญี่ปุ่น
.
7) สถานการณ์ของระบบสุขภาพจะสั่นคลอนมาก เพราะถัดจากนี้ไป การดูแลรักษาโรคอื่นๆ ให้แก่ประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก และส่งผลต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วย ที่จะเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ยากมากขึ้น การรับการรักษาหลายอย่างได้ช้าลงกว่าเดิม นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องวางแผนลดความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดในโรงพยาบาล ทั้งในบุคลากรที่ทำงานโดยตรงกับผู้ป่วย บุคลากรฝ่ายสนับสนุน รวมถึงผู้ป่วยและญาติ ทั้งในแผนกผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยใน
.
8) จากลักษณะการระบาดซ้ำในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ในหลากหลายกลุ่มเสี่ยง หลากหลายพื้นที่ หลากหลายกิจการและกิจกรรม เพราะโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของเรานั้นมีจุดเปราะบางหลายเรื่องที่ไวรัสชอบโจมตี ดังนั้นจึงต้องระวังทั้งที่ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า งานบุญต่างๆ งานปาร์ตี้เลี้ยงฉลอง งานแต่งงาน งานศพ สถานที่ท่องเที่ยว ไปจนถึงเคานต์ดาวน์ปีใหม่ในวันพรุ่งนี้ด้วย
.
ส่วนตัวแล้วเข้าใจเหตุผลลึกๆ และเงื่อนเวลาการตัดสินใจของศบค. แต่จะช่วยลดความรุนแรงของการระบาดได้บ้าง หากรัฐตัดสินใจมาตรการสุดท้ายภายในสัปดาห์นี้หรือไม่เกินต้นสัปดาห์หน้า
.
สิ่งที่ประชาชนอย่างเราจะทำได้ ณ เวลานี้คือ ขอให้ป้องกันตนเองอย่าให้ติดเชื้อ หรือแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
1. อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติอีกครั้ง
2. ใส่หน้ากากเสมอ 100% เมื่อออกนอกบ้าน และออกเท่าที่จำเป็นจริงๆ
3. เตรียมเสบียงไว้ในบ้านบ้าง
4. เตรียมยาที่จำเป็น
5. ตัดผม ทำผม หาหมอ หาหมอฟัน…ควรจัดการให้เสร็จในสัปดาห์นี้หากทำได้
6. ทำงานที่บ้านนะครับหากเป็นไปได้
7. เลี่ยงการใช้ขนส่งสาธารณะ แต่หากเลี่ยงไม่ได้ก็ป้องกันตัวให้เต็มที่ ใส่หน้ากาก และใช้เจลแอลกอฮอล์
.
สำคัญที่สุดคือ ในวันพรุ่งนี้ ได้โปรดเถิดครับ ไม่ควรไปกินอาหารฉลองข้างนอก ไม่ควรไปเดินดูแสงสี พลุ หรือการแสดงอะไรต่อมิอะไร เพราะหากท่านไป ท่านก็มีสิทธิที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้ติดเชื้อ หรือผู้แพร่เชื้อแก่คนจำนวนมาก ผลที่จะเกิดขึ้นคือ การระบาดครั้งนี้จะทวีความรุนแรงขึ้น อาจเกินกว่าที่บอกไว้ข้างต้น โดยจะเห็นผลในช่วงกลางเดือนมกราคม
.
แต่หากท่านไม่ออกจากบ้าน ท่านจะมีส่วนช่วยลดทอนการระบาดครั้งนี้ลงได้ไม่มากก็น้อย เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเราและสังคม