หอการค้าไทยคาดหากล็อกดาวน์ประเทศตั้งแต่ 1 – 3 เดือน จะกระทบเศรษฐกิจไทย 1 – 6 แสนล้านบาท

641
0
Share:

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.2563 อยู่ที่ 50.1 จาก 52.4 ในเดือน พ.ย.2563 โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
.
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 43.5 จาก 45.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 47.5 จาก 50.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.2 จาก 61.6
.
ปัจจัยลบ ได้แก่ ความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดรอบใหม่ที่เป็นวงกว้างและรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและบริการต่างๆ, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 จาก 3.6% มาที่ 3.2% จากสถานการณ์โควิดในต่างประเทศที่ยืดเยื้อและรุนแรงกว่าที่คาด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เปิดรับได้จะจำกัดกว่าที่ประเมินไว้
.
อีกทั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทยส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น, การส่งออกและการนำเข้าของไทยเดือนพ.ย.2563 ลดลง , เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ทำให้กังวลว่าจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก, ผู้บริโภคยังกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง รวมถึงกังวลรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
.
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ธ.ค.2563 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 50.1 เป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ย.2563 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการในเดือนนี้ และถือว่าดัชนีฯ อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้งแต่ ส.ค.2563
.
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงอีกครั้ง และอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ทำให้คาดว่าผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายอย่างมากตลอดในไตรมาส 1/64 จนกว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดในประเทศไทยจะคลี่คลายลง ซึ่งต้องติดตามการควบคุมการระบาดไวรัสโควิดรอบใหม่ของรัฐบาลในช่วงไตรมาส 1-2 นี้ ว่าจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร เพราะปัจจัยทั้ง 2 ตัวนี้ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตเป็นอย่างมาก
.
อย่างไรก็ดี การสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธ.ค.63 นี้ดำเนินการในช่วงก่อนที่รัฐบาลจะประกาศมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดที่แบ่งพื้นที่ตามระดับความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่พื้นที่ จึงคาดว่าแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้าจะปรับลดลงต่ำกว่าเดือนธ.ค.63 และมีโอกาสจะลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์มากกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเดือน เม.ย.63 ที่ช่วงนั้นมีการประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเพื่อควบคุมการระบาดภายในประเทศ
.
ในเบื้องต้น ประเมินว่าสถานการณ์โควิดรอบใหม่ อาจจะคลี่คลายลงได้ภายในช่วงปลายไตรมาสแรกปีนี้ หากมาตรการควบคุมการระบาดทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจก็พร้อมจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2 อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาจะต้องตรงจุดลงไปในพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาด เพราะผลทางจิตวิทยาจะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดเชื้อว่าจะลดลงได้เร็วเพียงใด และการระบาดจะกระจายพื้นที่ครอบคลุมไปมากน้อยแค่ไหน
.
รวมทั้งรัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปเยียวยาผลกระทบจากโควิดด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 แสนล้านบาทภายในไตรมาสแรกปีนี้ แต่หากมีการควบคุมสถานการณ์แบบซอฟท์ล็อกดาวน์ ถึงขั้นฮาร์ดล็อกดาวน์ ตั้งแต่ช่วงเวลา 1 เดือน 2 เดือนและ3 เดือน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจตั้งแต่เดือนละ 1.01- 6.02 แสนล้านบาท ส่งผลให้ไตรมาสแรกจีดีพีติดลบตั้งแต่ 0.63-3.75 % รวมทั้งทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น