สำนักวิจัยเศรษฐกิจการลงทุน KKP Research ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า การเข้ามาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ใช่สาเหตุหลักเพียงอย่างเดียวของการเปลี่ยนแปลงที่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่หัวใจสำคัญ คือ การชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ซึ่งเป็นผลจากค่ายรถยนต์จากประเทศจีนมีกำลังการผลิตส่วนเกินมาก และมีความสามารถลดราคา ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นสะท้อนจากยอดการส่งออกรถยนต์จากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้านผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากรถอีวี ในปัจจุบัน หรือกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเท่านั้น แต่จะขยายวงกว้างไปยังตลาดรถปิกอัพ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจยานยนต์ไทย และตลาดส่งออกของไทยอีกด้วย เนื่องจากจีนไม่ได้ส่งออกเพียงรถอีวี แต่ยังมีรถยนต์เครื่องสันดาปซึ่งครอบคลุมรถปิกอัพรวมอยู่ด้วย
KKP Research เปิดเผยต่อไปว่า การดึงดูดการลงทุนผลิตรถอีวีของแบรนด์สัญชาติจีนอาจไม่ใช่คำตอบของเศรษฐกิจไทย ที่สำคัญไม่ได้เป็นการต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนไทยอย่างที่หลายฝ่ายคาด หรือแม้แต่น้อย แต่การเข้ามาของกลุ่มทุนจีนในปัจจุบัน กลับเข้ามาเพื่อใช้กำลังการผลิตส่วนเกินจากจีนมาเจาะตลาดภายในประเทศไทยมากกว่าการมาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกรถยนต์เหมือนรถยนต์ญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1980s หรือเมื่อกว่า 40 ปีผ่านมา
ดังนั้น สถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบันมีโอกาสสูงที่จะไปสู่การปิดโรงงานผลิตรถยนต์ภายในประเทศไทย หากรัฐบาลยังคงปล่อยไปตามกลไกการแข่งขันในปัจจุบัน เนื่องจากค่ายรถยนต์จีนยังคงเจาะตลาดไทยและตลาดโลกต่อเนื่อง โดยใช้ข้อได้เปรียบเรื่องการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก