หุ้นดาวโจนส์ดิ่งกว่า 1,000 จุด ก่อนดีดกลับปิดบวกเฉียด 100 จุด

363
0
Share:
หุ้น

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 34,364 จุด +99 จุด หรือ +0.29% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,410 จุด +12 จุด หรือ +0.28% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 13,855 จุด +86 จุด หรือ +0.63% ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งเต็มไปด้วยความผันผวนอย่างรุนแรง เนื่องจากถูกเทขายอย่างหนักกดดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งถึง 1,115 จุด ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เข้าสู่ภาวะปรับฐานสมบูรณ์แบบเหตุทรุดหนักถึง -10% จากสถิติสูงสุดเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา และดัชนีหุ้นนาสแดคร่วงหนักถึง -4.9% ก่อนที่ดัชนีสำคัญทั้ง 3 แห่งจะตีตื้นขึ้นมาปิดในแดนบวกได้เป็นผลสำเร็จ

สาเหตุจากนักลงทุนเริ่มประเมินว่าราคาหุ้นทุกบริษัทเกิดภาวะเทขายมากเกินปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงในช่วงระหว่างวันของการซื้อขาย ถึงแม้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะสั้นอายุ 10 ปี ยังคงอยู่ที่ระดับ 1.87% ซึ่งใกล้เคียงสถิติสูงสุดที่ 1.9% ในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเกิดโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อหุ้นทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบจากการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาที่จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคมเป็นต้นไป รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดนัดแรกของปีนี้ที่จะเริ่มต้นขึ้นวันแรกในคืนนี้

นอกจากนี้ ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วซึ่งสร้างความผิดหวังอย่างมากมายให้กีบนักลงทุน ได้เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของการทยอยประกาศต่อเนื่อง
ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 83.31 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.83 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -2.15% ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 86.27 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -1.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.8%

ก่อนหน้านี้เมื่อวันพุธที่ 19 ที่ผ่านมา ในช่วงระหว่างวันนั้น ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ พุ่งสูงสุดที่ 89.05 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดวันที่ 13 ตุลาคม 2014 เมื่อปิดตลาด พบว่าราคาน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งปิดทำสถิติที่สูงสุดในรอบ 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2014 เป็นต้นมา

สาเหตุจากนักลงทุนขายทำกำไรระยะสั้นครั้งใหม่ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทะยานแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ รวมถึงนักลงทุนรอประเมินผลการประชุมของเฟดใน 2 วันนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่หนุนส่งราคาน้ำมันดิบยังคงเป็นสถานการณ์รุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยุโรปฝั่งตะวันออก สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศในยูเครนกับรัสเซียที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า รัสเซียเตรียมใช้กำลังทหารเข้าโจมตีประเทศยูเครนภายใน 30 วันข้างหน้านึ้ หากการเจรจาทางการทูตล้มเหลว โดยความตึงเครียดของทั้ง 2 ประเทศสะสมมาตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้ว

นอกจากนี้ ท่อส่งน้ำมันดิบจากประเทศอิรักไปยังประเทศตุรกีเกิดระเบิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบที่ส่งออกจากอิรัก ซึ่งยังไม่สามารถระบุปริมาณที่ได้รับผลกระทบได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ กลุ่มนักรบฮูติในประเทศเยเมน เปิดเผยว่า ได้ใช้ปฏิบัติการอากาษยานไร้คนขับ หรือโดรน เข้าโจมตีประเทศสหรัฐ อาหรับ เอมิเรตส์ หรือยูเออี ซึ่งประเทศยูเออีเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มโอเปก การโจมตีดังกล่าวทำให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณรอบนอกของกรุงอาบู ดาบี พบผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 3 ราย

ด้านปัจจัยพื้นฐานการผลิตน้ำมันดิบ พบว่าตลาดน้ำมันดิบตึงตัวจากกำลังการผลิต แม้ว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะมีมติเพิ่มกำลังการผลิต 400,000 บาร์เรลในเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไปก็ตาม

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,841.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +2.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -0.5%
สาเหตุจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริการะยะสั้นอายุ 10 ปี ยังคงสูงขึ้นใกล้เคียงสถิติใหม่ในรอบ 2 ปีผ่านมา ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เพื่อรับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดในวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ซึ่งเป็นการประชุมนัดแรกของปีนี้