หุ้นสุดคึก! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดพุ่งเกือบ 370 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 85 ดอลลาร์

204
0
Share:
หุ้นสุดคึก! ดัชนี หุ้น ดาวโจนส์ ปิดพุ่งเกือบ 370 จุด น้ำมันดิบโลกปิดขึ้นเหนือ 85 ดอลลาร์

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 34,086 จุด +368 จุด หรือ +1.09% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 4,076 จุด +58 จุด หรือ +1.46% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,584 จุด +190 จุด หรือ +1.67%

ในเดือนมกราคม พบว่าดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง เพิ่มขึ้น +2.8%, +6.2% และ +10.7% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นดาวโจนส์สามารถปิดขึ้นในแดนบวกเป็นเดือนที่ 3 จาก 4 เดือนผ่านมา ส่วนดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในวันสุดท้ายของมกราคมไม่เพียงทำสถิติดีที่สุดในเดือนเดียวกัน แต่ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 เดือนมกราคมทำสถิติดีที่สุดในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ขณะที่ดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติเดือนที่ดีที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022 สอดคล้องกับดัชนีหุ้นนาสแดคเดือนมกราคมทำสถิติปิดดีที่สุดในรอบ 22 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา

สาเหตุจากราคาหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มบลูชิปมีราคาพุ่งสูงจากผลประกอบการที่ออกมาดี เช่น เจนเนอรัลมอเตอร์มีราคาหุ้นพุ่ง 8.4% เอ็กซ์ซ่อน โมบิล มีราคาหุ้นพุ่งสูงถึง 2.2% เป็นต้น นอกจากนี้ ดัชนีต้นทุนการจ้างงานในสหรัฐอเมริกาในไตรมาสที่ 4 ปีผ่านมา เพิ่มขึ้นที่ 1.0% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มเป็น 1.1% สะท้อนภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง

นักลงทุนรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟดนัดแรกของปีนี้ ที่จะมีขึ้น 2 วันติดต่อกันในวันที่ 31 มกราคมถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการอฟังการแถลงของประธานเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้นสุดท้ายจะอยู่ในระดับสูงมากน้อยอย่างไร

นอกจากนี้ ตัวชี้วัดโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ CME พบว่านักลงทุนให้น้ำหนักลดลงมาเหลือ 96% ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวเพียง 0.25% ในการประชุมนัดแรกของปีนี้ในวันที่ 31 มกราคมถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 78.87 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.3% ส่งผลทำสถิติราคาน้ำมันดิบนิวยอร์กปิดร่วงหนักในแง่เปอร์เซ็นต์มากที่สุดใน 4 สัปดาห์ผ่านมา ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน ทำให้ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ปิดเพิ่มขึ้น 5 วันทำการติดต่อกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่ตุลาคม 2022

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 85.46 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล +0.96 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ +1.00% ในปีผ่านไปราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง กระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้น้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปรายวันในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2022 เพิ่มขึ้นเป็น 20.59 ล้านบาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 เดือน ผลสำรวจรอยเตอร์สกับนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 49 คนเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์เฉลี่ยในปีนี้ พบว่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 90 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นตั้งแต่การสำรวจครั้งสุดท้ายเมื่อตุลาคมปีผ่านมา

นักลงทุนรอผลการประชุมของเฟดที่จะมีขึ้นในวันอังคารและวันพุธนี้ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษและกลุ่มยูโรใน 1 วันให้หลัง ซึ่งคาดว่าทั้ง 3 ธนาคารกลางจะปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นระหว่าง 0.25% ถึง 0.5% นอกจากนี้ ยังรอฟังผลการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบอีกครั้ง

ราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,930.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +13.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.2% ขณะที่ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ระดับ 1,928.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ +4.18 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +0.23%

ในเดือนมกราคม ราคาทองคำตลาดโลกเพิ่มขึ้น 5.7%

ในปีผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพลิกอ่อนค่าลง สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี กลับอยู่ในระดับลดลง หลังตากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในคืนผ่านมา ได้แก่ ดัชนีต้นทุนการจ้างงานรายไตรมาส พบว่าเพิ่มขึ้นไม่ถึงตามที่คาดไว้ จึงกลายเป็นปัจจัยกดดันต่อการตัดสินใจกับแนวโน้มดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดในการประชุมวันที่ 2 ในคืนวันนี้

ขณะที่ตัวชี้วัดโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ CME พบว่านักลงทุนให้น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 96% ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวเพียง 0.25% ในการประชุมนัดแรกของปีนี้ในวันที่ 31 มกราคมถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้