“อดีตปลัดคลัง สมชัย สัจจพงษ์” ชี้แจกเงินดิจิทัล ขาดความชัดเจนแหล่งที่มาของเงิน

1074
0
Share:
“อดีตปลัดคลัง สมชัย สัจจพงษ์” ชี้แจก เงินดิจิทัล ขาดความชัดเจนแหล่งที่มาของเงิน

นายสมชัย สัจจพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล ว่าเท่าที่ติดตามข่าวก็ยังไม่ทราบรายละเอียดชัดเจน เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและงบประมาณที่ใช้ จึงคงไม่ตอบว่าควรทำหรือไม่ควรทำหรือว่าดีหรือไม่ดี แต่อยากเสนอข้อคิดให้กับคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ ที่กำลังดำเนินการศึกษาและเสนอแนวทางในการดำเนินนโยบายนี้ เพื่อคิดให้ครอบคลุมทุกองคาพยพแล้วก็ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้งบประมาณ และไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการคลังและ เสี่ยงต่อการทำผิดวินัยการเงินการคลัง

โดยก่อนอื่นต้องตกผลึกให้ได้ก่อนว่า นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหลักคืออะไรเช่นตามที่ผมฟังมา รัฐบาลต้องการใช้นโยบายนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ดังนั้น ก็ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วและให้มีการหมุนของเงินเร็ว กลุ่มประชาชนกลุ่มใดที่สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไว คำตอบก็คือกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อยเพราะกลุ่มประชาชนรายนี้กลุ่มนี้เมื่อได้เงินเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัลไป ก็จะมีแนวโน้มในการใช้เงินทั้งหมดเลยและใช้ด้วยความรวดเร็วในการบริโภคอุปโภคบริโภค ส่วนน้อยที่จะนำไปใช้ในการต่อยอดรายได้เพื่อการลงทุนและประกอบอาชีพ

การแจกเงินดิจิทัลให้กับทุกคนที่มีมีอายุมากกว่า 16 ปี จึงไม่น่าจะเป็นการตอบโจทย์ในการที่รัฐบาลต้องการใช้นโยบายนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น หากรัฐบาลต้องการดำเนินนโยบายนี้เพื่อเป้าหมายนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินงบประมาณมากถึง 560,000 ล้านบาท รัฐบาลเพียงแต่แจกเงินดิจิทัลให้กับกลุ่มฐานรากหรือกลุ่มที่มีรายได้น้อยน่าจะเพียงพอแล้ว ทำให้ใช้เงินงบประมาณหรือการกู้เงินมาน้อยกว่าจำนวน 560,000 ล้านบาท

อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ยังตั้งคำถามด้วยว่า เมื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบนี้ผ่านการใช้จ่ายของกลุ่มประชาชนฐานรากแล้ว ระยะเวลาหรือ timing ขณะนี้เหมาะสมหรือไม่ในการทำนโยบาย ในขณะที่เศรษฐกิจไทยปัจจุบันไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนเศรษฐกิจช่วงโควิดระบาด ถ้ารัฐบาลยืนยันการแจกเงินดิจิตัลให้ทุกคนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปตามแผนที่ได้หาเสียงไว้ คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการที่กำลังศึกษาเรื่องนี้ควรจะเสนอปรับปรุงมาตรการนี้อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และต้องการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลนี้

ทั้งนี้ อดีตปลัดกระทรวงการคลังยังได้เสนอให้ทบทวน และขยายเป้าหมายของการทำนโยบายนี้ จากการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างเดียวมาเสริมด้วยการยกระดับ GDP ของประเทศ ยกระดับรายได้ของประชาชนในระยะกลาง และระยะยาวไปพร้อมกันโดยการต่อยอดรายได้ เน้นเรื่องการลงทุนของประชาชนกลุ่มเล็กหรือกลุ่มขนาดกลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการหารายได้ การประกอบอาชีพและการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางที่ดำเนินการโดยประชาชนกลุ่มเล็ก

“โดยสรุปแล้วผมมีความเห็นว่าปัจจุบันนี้รัฐบาลยังไม่ตกผลึกในการคิดนโยบายนี้ และยังไม่คิดครบทั้งระบบ ทั้งขาดความชัดเจนของแหล่งที่มาของงบประมาณที่นำมาใช้ในโครงการนี้อย่างรอบคอบและยังหวังผลเลิศ เกี่ยวกับเรื่องการได้รายรับจากรายได้ภาษีที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายนี้ซึ่งในทางปฎิบัติเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเรายังมีปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบภาษีและยังขาดประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี รวมทั้ง ขาดความแม่นยำจากการประเมินผลการดำเนินมาตรการนี้จากส่วนเพิ่มของการเก็บภาษีและการเติบโตของรายได้จากการดำเนินนโยบายดิจิตัลวอลเล็ตนี้ ทำให้การคาดการณ์ผลการประเมินของโครงการนี้ทำได้ยากและถูกต้อง เพิ่มความเสี่ยงทางการคลัง เสี่ยงต่อการผิดวินัยการเงินการคลัง จริงๆแล้วเงินจำนวนนี้ประมาณ 560,000 ล้านบาท ถ้าวางระบบดีดีสามารถนำไปแก้ไขปัญหาความยากจนของคนไทยทั้งระบบได้เลยเช่นเดียวกับการที่ประเทศจีน ได้ทุ่มงบประมาณและบุคลากรเพื่อไปแก้ไขปัญหาความยากจน หรือนำเงินก้อนนี้ไปดำเนินโครงการลงทุนอื่นที่เสริมความแข็งแกร่งและ ประสิทธิภาพการผลิตของประเทศเพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจยั่งยืน”