อดีตปลัดพลังงานโชว์ข้อมูลจริงค่าการกลั่น แก้ปมให้ถูกต้องไม่ใช่แก้ให้ถูกใจ

344
0
Share:
ค่าการกลั่นน้ำมัน

นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ช่วงสองสัปดาห์มานี้ โหงวเฮ้ง (หรือนรลักษณ์พยากรณ์) ของผู้บริหารบริษัทโรงกลั่นน้ำมันในไทยทั้งหกโรง อันได้แก่ Thai Oil, GC, BCP, IRPC, Esso และ SPRC ดูออกจะไม่มีออร่าแจ่มใส สวนทางกับราคาน้ำมันขาขึ้นจากวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครนในยุโรปที่น่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ แต่เหตุที่ไม่เบิกบานนักก็เพราะโรงกลั่นในไทยกำลังจะถูกกล่าวหาจากคนที่มีดีกรีเคยเป็นถึงอดีตขุนคลังของรัฐบาลในอดีตสองคนว่า เป็นโจรปล้นประชาชน หรือเอาเปรียบผู้บริโภคบ้างล่ะ โดยยกอ้างถึงตัวชี้วัด ‘ค่าการกลั่น Gross Refinery Margin (GRM)’ ด้วยการวิเคราะห์ของตนว่ามีค่าสูงมากเกินปกติ

ดังนั้น จึงไปอนุมานว่าบริษัทโรงกลั่นน้ำมันทั้งหกโรงเหล่านี้ต้องมีกำไร “ส้มหล่น” อย่างมหาศาล เกิดเป็นกระแสให้รัฐเข้ามาจัดการควบคุมเพดานค่าการกลั่น GRM พร้อมทั้งมีข่าวว่าจะขอร้องแกมบังคับให้โรงกลั่นให้ความร่วมมือ “บริจาค” เงินก้อนมาให้รัฐนำไปใช้พยุงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป หลังจากที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกำลังจะหมดความสามารถที่จะนำไปใช้พยุงราคาน้ำมันได้อีกต่อไป เนื่องจากใช้ไปจนหมดหน้าตักจนมีภาระเป็นหนี้จะเหยียบหนึ่งแสนล้านบาทภายในสิ้นเดือนนี้อยู่แล้ว

มีการยกเอาสถิติตัวเลขส่วนต่าง (crack spread) ระหว่างราคาน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบในตลาดสิงคโปร์มาเปรียบเทียบย้อนหลังไปในปี 2563 เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือด้วยว่าโรงกลั่นกำลังฟันกำไรบนความทุกข์ของประชาชน! กระทรวงพลังงานและรัฐมนตรีว่าการฯ ตกเป็นเป้าโจมตีเช่นเคยว่าไม่ทำอะไรเลย ตามด้วยการกล่าวสบประมาทว่าเป็นเพราะรัฐมนตรีฯ เกรงใจเพื่อนเพราะตนเคยทำธุรกิจนี้มาก่อน ส่วนข้าราชการก็ถูกข้อหาเดิมว่าไปนั่งอยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ต้องมีประโยชน์ทับซ้อนแน่เลย ถึงไม่กล้าสั่งโรงกลั่นให้ลดราคา

ทั้งนี้ ติดตามข่าวสารในสื่อมวลชนกระแสหลัก พบว่าสื่อมวลชนและประชาชนส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้าใจและยอมรับในระดับหนึ่งว่าราคาหน้าปั๊มที่แพงขึ้นในช่วงสามสี่เดือนกว่ามานี้เพราะต้นทุนเนื้อน้ำมันในตลาดโลก (ทั้งน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่กลั่นแล้ว) มีราคาแพงขึ้น อันมีเหตุปัจจัยแวดล้อมหลายเรื่องมาประจวบกัน

ผู้ค้าและปั๊มน้ำมันไม่สามารถตั้งราคาเองโดยไม่คำนึงถึงกลไกตลาดและต้นทุนได้ และรัฐบาลก็ได้พยายามหลายวิธีด้วยกลไกหลายๆ อย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ มาอุดหนุนราคาขายปลีก (โดยเฉพาะดีเซล) การลดภาษีสรรพสามิตลงกว่า 5 บาทต่อลิตร การลดส่วนผสมของไบโอดีเซล B100 ในน้ำมันดีเซลจาก 7%, 10% และ 20% ให้เหลือเป็น B5 (5%) เท่านั้น การค่อยๆ ขยับเพดานการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล เป็น 35 บาท/ลิตร และก๊าซหุงต้ม LPG เป็น 363 บาทต่อถัง 15 กก. และใช้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาช่วยสนับสนุนลดค่าครองชีพด้านพลังงานให้แก่ผู้มีรายได้น้อย วินมอเตอร์ไซด์ รถ Taxi หาบเร่แผงลอย และครัวเรือนผู้ที่ใช้ไฟฟ้าน้อย เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้เป็นต้นมาจนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ 17/6/65 สำหรับดีเซลปรับขึ้น 17% (ขณะที่ในตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้น 84%) ส่วนแก๊สโซฮอล 95 ก็ปรับราคาขึ้น 38% (ขณะที่ ULG 95 สิงคโปร์ปรับขึ้นในช่วงเดียวกัน 61% ซึ่งราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่น (ex-refinery prices) ของไทยก็ปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับราคาหน้าโรงกลั่นที่สิงคโปร์ด้วย ดังนั้น พอมีประเด็นเรื่องค่าการกลั่นเข้ามา หลายคนก็เลยสงสัยอยากรู้ว่า เอ๊ะมันจริงหรือเปล่า ที่โรงกลั่นมีกำไรมหาศาลจากส่วนต่างของค่าการกลั่นนี้

และเรา (รัฐ) ควรจะเข้าไปทำอะไรมากกว่านี้เพื่อช่วยประชาชนเพิ่มเติมอีกได้ไหม?
ถูกใจ โดยการคุมเพดานการกลั่น หรือขอแบ่งเงินจากกำไร “ส้มหล่น” ของโรงกลั่น มาช่วยพยุงราคาน้ำมันในประเทศ จะดีหรือ?