ออนไลน์โตพุ่ง! โซเชียลคอมเมิร์ซแข่งเดือด หนุนตลาดอีคอมเมิร์ซพุ่ง 15-20%

208
0
Share:
ออนไลน์โตพุ่ง! โซเชียลคอมเมิร์ซ แข่งเดือด หนุนตลาด อีคอมเมิร์ซ พุ่ง 15-20%

นายสวภพ ท้วมแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซอร์ทเอาท์ จำกัด (ZORT) แพลตฟอร์มบริหารจัดการออเดอร์และ สต๊อกครบวงจร (Seller Management Platform) เปิดเผยว่า ปี 2565 สามารถสร้างผลงานเติบโตเกินเป้าหมายมีลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น 50% ผ่านอีคอมเมิร์ซทุกแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อในระบบ ZORT เพิ่มขึ้นเป็นขึ้นเป็น 49,000 ล้านบาท ซึ่งโตขึ้นประมาณ 62% จากปี 2564 ที่มีประมาณ 30,000 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ZORT ตั้งเป้าหมายการเติบโต 100 % เนื่องจากมองว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่ดีของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะการชอปปิ้งออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ZORT คาดการณ์ว่าตลาดจะโตประมาณ 15-20% จากปี 2565 ที่น่าจะมีมูลค่าการตลาดรวมประมาณ 6.6 แสนล้านบาท ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่

* เทรนด์ Social Commerce ได้รับความนิยมมากขึ้น การแข่งขันของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้ง Facebook LINE TikTok จะดุเดือดมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดจากปี 2565 ที่ทุกแพลตฟอร์มพัฒนาฟีเจอร์ให้พร้อมรองรับการทำธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ มากขึ้น ช่วยให้ผู้ค้าสามารถขายสินค้าได้อย่างครบลูปและผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้า พร้อมชำระเงินได้อย่างไร้รอยต่อภายในแพลตฟอร์มเดียว โดยตัวเลขการเติบโตของผู้เชื่อมต่อ Social Commerce กับแพลตฟอร์ม TikTok Shop และ LINE SHOPPING ในระบบ ZORT ในปี 2565 มีร้านเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น 30% รวมถึงลูกค้าเดิมที่มีการขยายช่องทางการขายไปยัง TikTok Shop 13% ของช่องทางการขายทั้งหมด ลูกค้าเดิมที่มีการขยายช่องทางการขายไปยัง LINE SHOPPING 15 % ของช่องทางการขายทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการชาวไทย พร้อมปรับตัวไปยังทุกแพลตฟอร์ม ที่มีกลุ่มผู้บริโภคไปรวมตัวอยู่ที่นั่น

* พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยหนุนตลาด โดยจากข้อมูลของ ‘วันเดอร์แมน ธอมสัน’ พบว่าไทยเป็นประเทศที่มีสัดส่วนซื้อสินค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซสูงที่สุดในโลก คนไทย 95% ระบุว่าชอปปิ้งออนไลน์มีส่วนเข้ามาช่วยเรื่องการใช้ชีวิตในช่วงโควิดในช่วงปี 2564 ทำให้สัดส่วนการชอปออนไลน์ก็มาแรงต่อเนื่องจนแซงหน้าการชอปปิ้งออฟไลน์ อีกทั้งยังพบว่ารายการชำระเงินผ่านการชอปปิ้งออนไลน์ของ ไทยครองอันดับ 3 ของโลก ด้านการชำระเงินแบบเรียลไทม์ (Real-time Payment) เป็นรองแค่จีนกับอินเดียที่มีประชากรสูงกว่าไทย

* Short Video Commerce เทรนด์ใหม่ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ เทรนด์การขายที่เปลี่ยนไปในรูปแบบ VDO สั้น สอดรับกับพฤติกรรมการรับสื่อผู้บริโภคที่ให้ความสนใจกับการดูสื่อแบบเคลื่อนไหวในปัจจุบัน กลยุทธ์การเปลี่ยนคอนเทนต์เป็นยอดขาย หรือ Shoppertainment ที่ผสมผสานการชอปปิ้งเข้ากับความบันเทิง อย่างการโปรโมทสินค้าผ่านคลิปที่กระชับ น่าสนใจ จะช่วยเพิ่มยอดขายและกระตุ้นการซื้อของลูกค้าได้ เช่น การพัฒนาของ TikTok Shop ที่ชูจุดเด่น Short Video Commerce และ Live Commerce ที่ไม่ได้ทำมาเพื่อให้บริการเฉพาะ Short video เพียงอย่างเดียว แต่มีบริการอื่นของ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น การเปิดร้านค้าเข้ามาเสริมด้วย ล่าสุดแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็เริ่มพัฒนาฟีเจอร์ Short VDO มาแข่งขันในตลาด เช่น Reels บน Facebook และ Instagram Youtube Shorts และ LINE VOOM พร้อมพยายามผลักดันให้มีผู้ใช้งานมากขึ้น

อย่างไรก็ดีในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซยังมีความเสี่ยง 2 ด้าน ที่ผู้ค้าควรวางแผนรับมือและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มการเพิ่มค่าธรรมเนียมของแพลตฟอร์ม E-Marketplace ในปี 2565 E- Marketplace เจ้าตลาดได้ปรับค่าธรรมเนียมการขายเพิ่มขึ้น 1% ส่งผลให้ผู้ค้ามีต้นทุนค่าธรรมเนียมการขายและค่าคอมมิชชั่น อยู่ที่ 5.35% ทั้งนี้ในอนาคตก็ยังมีความเสี่ยงที่ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะปรับขึ้นได้อีก โดยเฉพาะหลังจากที่ JD Central ประกาศถอนตัวจากสงคราม E-Marketplace ในประเทศไทย 2 แพลตฟอร์ม เจ้าตลาดที่เคยใช้เงินลงทุนมหาศาลไปกับการสร้างตลาด ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นค่าธรรมเนียมได้คล่องตัวขึ้นเมื่อไร้คู่แข่งอย่าง JD Central ส่งผลให้ร้านค้าที่มีหน้าร้านบน E-Marketplace ต้องวางแผนหากเกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพื่อให้สามารถคุมราคาสินค้าได้ดี และไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขาย

2. การฟื้นตัวของตลาดออฟไลน์ กลยุทธ์ Omnichannel จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ปัจจัยนี้น่าจับตาอย่างมีนัยสำคัญ โดยสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดกลุ่มนี้เริ่มตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2565 หลังจากการประกาศคลายล็อกของรัฐบาลและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติออกมาจับจ่ายใช้สอยตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นผู้ค้าออนไลน์จึงควรปรับตัว ด้วยการเพิ่มช่องทางการขายผ่านออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กันไปอย่างไร้รอยต่อ

ดังนั้นผู้ประกอบการที่วางแผนขยายธุรกิจทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์ควรใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการร้านค้า (Seller Management Platform) เพื่อเสริมการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพในทุกมิติ ทั้งการวางแผนการตลาด การจัดการหลังร้านออเดอร์และสต๊อก ไปจนถึงการขนส่งสินค้า ที่สามารถรวมการขายจากหน้าร้านทุกแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์มาไว้ที่เดียวอย่างไร้รอยต่อ ทั้ง Social Commerce และ E-commerce และรวบรวมข้อมูลสำหรับพัฒนาธุรกิจและบริการให้ตอบโจทย์กับกลุ่มผู้บริโภค ก็จะทำให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการอย่างมืออาชีพได้ในทุกแพลตฟอร์ม