อีฟโรเช่เลิกขายเครื่องสำอาง ตั้งเป้าปิด 15 สาขาในไทย หันไปทำตลาดสินค้าสวยรักษ์โลก

587
0
Share:
อีฟโรเช่

วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด หรือซีเอ็มโอ บริษัท อีฟโรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2565 อีฟโรเช่ ยกเลิกไลน์สินค้ากลุ่ม Whitening หรือกลุ่มเพิ่มความขาว โดยหันไปเป็นกลุ่ม Brightening หรือกลุ่มสินค้าลดริ้วรอย เพื่อเป็นไปตามแนวโน้มของพฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก ที่ไม่ได้ยึดติดกับความขาวอย่างเดียวอีกต่อไป ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้น โรคระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยได้ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดธุรกิจความงามในเมืองไทย เมื่อย้อนกลับไปในปี 2563 พบว่า ตลาดความงามในไทยมีมูลค่าตลาดทรุดลง -11% แต่สำหรับแบรนด์อีฟโรเช่กลับเติบโตขึ้น 6% เมื่อมาถึงในปี 2564 มูลค่าตลาดความงามโดยรวมในไทยลดลงมากถึง -12% แต่สำหรับอีฟโรเช่กลับเติบโตได้ 7%

นอกจากการปรับเปลี่ยนประเภทกลุ่มสินค้า และบรรจุภัณฑ์แล้ว อีฟโรเช่เตรียมปิดและยุบรวมสาขาหรือหน้าร้านเพิ่มเติมจากที่ผ่านมา โดยเตรียมยุบบางสาขาที่ไม่สร้างรายได้ เพื่อเป็นการปรับตัวกับตลาดขายปลีกเครื่องสำอางที่หดตัวลง รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้อีฟโรเช่มีทั้งหมด 128 สาขา มีจำนวนพนักงานรวม 330 คน แต่ในปัจจุบัน มีสาขาลดลงมาหลือเพียง 70 สาขา

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟโรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อไปว่า อยากปิดเพิ่มขึ้นอีก 15 สาขา ซึ่งบางสาขาในขณะนี้ ยังติดเรื่องสัญญาที่ยังไม่สิ้นสุด สิ่งสำคัญ คือตลาดรีเทลคงไม่กลับไปเหมือนปี 2562 อีกแล้ว ขณะนี้ พบว่าปริมาณลูกค้ากลับมาเพียง 30% ในส่วนพนักงานนั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนการทำงานให้กับบางคนไปเป็น Virtual BA โดยทำการพูดคุยกับลูกค้าทางโทรศัพท์ สานงานนี้มีพนักงาน 30 คน

วิลาสินี ภาณุรัตน์ ซีเอ็มโอ อีฟโรเช่ เปิดเผยว่า การวางจุดยืนเป็นกรีนบิวตี้ เพราะผู้ก่อตั้งมีเจตจำนงด้านธรรมชาติอย่างมาก ไม่ได้ต้องการแค่ใช้ส่วนประกอบอย่างเดียว แต่ยังต้องการทำให้ยั่งยืนในทุกๆ สำหรับในปี 2565 อีฟโรเช่ตั้งเป้าหมายในการเติบโตที่ 19% เมื่อเปรียบเทียบจากปีก่อน ด้วยการเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเส้นผม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนในการสร้างรายได้กว่า 75% และอีก 25% ของรายได้จะมาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เตรียมดันบริการนวด และทรีตเมนต์กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง

ถ้าย้อนกลับไปช่วงก่อนปี 2563 ตลาดความงามในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตปีละ 6% – 7% ส่งผลให้มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 220,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้า ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสกินแคร์อยู่ที่ 80% จากมูลค่าภาพรวมอยู่ที่กว่า 90,000 ล้านบาท

แต่เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ในไทยช่วงระลอกแรก ตลาดสินค้าดูแลรักษาและบำรุงผิวหน้าได้รับผลกระทบทันที เนื่องจากคนมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ยอดขายร่วงลงอย่างรวดเร็ว ประจวบกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มใหญ่ของสินค้าหมวดนี้คือ นักท่องเที่ยว ทั้งหมดส่งผลกระทบตลาดดังกล่าวทรุดหนักถึงขั้นติดลบเป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปีผ่านมา

หลังจากรัฐบาลประกาศการคลายล็อก ทำให้ตลาดเริ่มกลับมาอีกครั้ง ผู้บริโภคเริ่มปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ มีการใช้สกินแคร์ดูแลผิว แต่อาจจะลดใช้เครื่องสำอางอยู่ เพราะยังคงต้องใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอด ทำให้ตลาดเครื่องสำอางค่อนข้างทรงๆ ไปจนถึงขั้นติดลบ

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า อีฟโรเช่ ตัดสินใจยุบสินค้า กลุ่มเครื่องสำอาง โดยจะจำหน่ายสินค้าในสต๊อกอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีการทำตลาดพิ่ม คาดว่าจะจำหน่ายถึงเดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นจะหันไปเน้นทำตลาดในกลุ่มที่มีการเติบโตดีกว่า
กลุ่มที่เป็นดาวรุ่ง และมีการเติบโตสูงก็คือกลุ่ม Hair Care และกลุ่ม Bath & Body Care ดูแลผม และผลิตภัณฑ์อาบน้ำ