กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลวิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า ‘อุตสาหกรรมกาแฟ’เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และได้รับความนิยมต่อเนื่องจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย สะท้อนการเติบโตของตลาดกาแฟภายในประเทศที่มูลค่ากว่า 65,000 ล้านบาทในปี 2568 หรือเพิ่มขึ้น 8.33% จากปี 2567
จากข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีนิติบุคคลในอุตสาหกรรมกาแฟจำนวน 6,361 ราย แบ่งเป็น กลุ่มผลิต 811 ราย และกลุ่มขาย 5,550 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมกว่า 39,329 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มผลิต 10,562 ล้านบาท และกลุ่มขาย 28,767 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรูปแบบบริษัทจำกัดคิดเป็น 78.39% (4,986 ราย) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก คิดเป็น 96% (6,105 ราย) เมื่อวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจร้านกาแฟจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ร้านกาแฟแบบFranchise/Chain ที่มีแบรนด์แข็งแรงและมีความสามารถในการทำกำไรสูง เช่น Café Amazon, กาแฟพันธุ์ไทย และ 1:2 Coffee และร้านกาแฟแบบ Independent หรือร้านอิสระ ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 94.4% ทั้งนี้ แม้ธุรกิจกลุ่มนี้จะสร้าง อัตรากำไรสุทธิได้ต่ำกว่าแบบแรก แต่ยังสามารถเติบโตได้ดีด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพและความสร้างสรรค์ เช่น NANA Coffee Roaster และ Factory Coffee
ทั้งนี้ ช่วงครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม-มิถุนายน) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มกาแฟถึง 415 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 คิดเป็น 8.92% โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการรายย่อย ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจจากความชอบและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ด้านผลประกอบการในปี 2567 สามารถสร้างรายได้รวมของอุตสาหกรรมกาแฟอยู่ที่ 206,751 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มผลิต 37,217 ล้านบาท และกลุ่มขาย 169,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,453 ล้านบาท คิดเป็น 1.70% เมื่อเทียบกับปี 2566
ปัจจัยความสำเร็จของร้านกาแฟในยุคปัจจุบันอยู่ที่การปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ช่องทางการสั่งซื้อที่หลากหลาย การรับชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล และการสร้างแบรนด์ที่มี Story แตกต่างจากคู่แข่ง เป็นต้น อย่างไรก็ดี ธุรกิจกาแฟในวันนี้ ไม่ใช่แค่ขายเครื่องดื่ม แต่เป็นการขายประสบการณ์ คุณภาพ และเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคให้กลับมาซื้อซ้ำพร้อมสร้างความภักดีต่อแบรนด์ผลักดันให้มีความยั่งยืนต่อไป