ฮุบข้ามโลก! กลุ่มไมเนอร์ทุ่มกว่า 500 ล้านซื้อแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ บุกตลาดทั่วโลก

258
0
Share:
ฮุบข้ามโลก! กลุ่ม ไมเนอร์ ทุ่มกว่า 500 ล้านซื้อแบรนด์ ซิซซ์เล่อร์ บุกตลาดทั่วโลก

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้ตัดสินใจเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ในแบรนด์แฟรนไชส์ซิซซ์เล่อร์ทั่วโลก ยกเว้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก และกัวเตมาลา

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากในการประกาศเข้าซื้อแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เราได้ร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดและมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก โอกาสในการเข้าซื้อกิจการระดับโลกในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกลับมาเติบโตและมีความพร้อมที่จะคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบของไมเนอร์ ฟู้ด MINT พิสูจน์ให้เห็นว่าได้ประสบความสำเร็จในการขยายแบรนด์ในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศที่มีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากในการครองตลาดอย่างเช่นจีนและสิงคโปร์

จากความสามารถของ MINT ในการพัฒนาแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ที่ผ่านมา MINT จะสามารถปลดล็อกศักยภาพของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ โดยบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้เชิงลึกในอุตสาหกรรม ความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน และการดำเนินงานของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก เพื่อขยายเครือข่ายของแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ในตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วอื่นๆ ทั่วโลก เช่น กลุ่มประเทศอาเซียนและตะวันออกกลาง

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้รับสิทธิแฟรนไชส์ของแบรนด์ซิซซ์เล่อร์มายาวนานถึง 31 ปี ส่งผลให้ MINT เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัท Collins Foods Limited (“Collins Foods”) ซึ่งเป็นผู้ขายและเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของแบรนด์ซิซซ์เล่อร์ โดยมีส่วนช่วยในการผลักดันการเติบโตและสร้างชื่อเสียงในด้านร้านอาหารสไตล์ตะวันตกในทวีปเอเชีย

ทั้งนี้ เมื่อกระบวนการการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นลง MINT จะเข้ามามีอำนาจควบคุมกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ร้านซิซซ์เล่อร์ที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย 64 สาขาและประเทศญี่ปุ่นอีก 10 สาขา

สำหรับสัญญาการขายดังกล่าว ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 21 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือ 546 ล้านบาท จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท และเกิดขึ้นได้จากการที่บริษัทมีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้ค่าลิขสิทธิ์ต่อปีของซิซซ์เล่อร์ที่มีอยู่ที่ 3.5 – 4 ล้านเหรียญสิงคโปร์ และผลกำไรเต็มจำนวนโดยไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์จากการดำเนินงานในประเทศไทย