เกียรตินาคินหั่นจีดีพีไทยปีเสือลงเหลือ 3.2% เตือนเงินเฟ้อจะพุ่งสูงกว่า 5.5%

406
0
Share:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจในเครือบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน หรือ KKP Research เปิดเผยว่า ได้ปรับการคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือตัวเลขจีดีพีประจำปี 2565 ประกอบด้วย ในกรณีฐาน ลดเหลือ 3.2% จากเดิมที่ 3.9% สาเหตุจากความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย และเงินเฟ้อในไทยที่มีสูงขึ้นมาก ในขณะที่ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สถานการณ์ประเทศยูเครนและรัสเซีย นอกจากนี้ ยังได้ปรับประมาณการเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 2565 จากเดิมคาดไว้ที่ 2.3% เป็น 4.2% เนื่องจากจากต้นทุนราคาพลังงาน และต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก

ในกรณีเลวร้ายสุดนั้น KKP Research ประเมินว่า มีโอกาสที่มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติที่มีต่อรัสเซียอาจจะรุนแรงมากขึ้น จนส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปีที่ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ที่สำคัญ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์ เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้นแตะ 5.1% ในขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้เพียง 2.7% เท่านั้น

ศูนย์วิจัยดังกล่าว เปิดเผยต่อไปว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบ ดังนี้ เศรษฐกิจในประเทศในช่วงไตรมาส 2 ของปี คาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งสูงแตะสูงสุดที่ 5.5% กระทบในแง่ฉุดกำลังซื้อของประชาชนลดลง ด้านการส่งออก จะพบว่าการส่งออกไทยจะชะลอตัวลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเศรษฐกิจยุโรปจะรับผลกระทบหนักกว่าภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจรัสเซียมีมาก ด้านตลาดนักท่องเที่ยวนั้น การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากการเปิดประเทศไทยที่ทำได้ช้ากว่าที่กำหนดไว้ และเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบกว่าคาดนับเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย

ทั้งนี้ ด้านราคาน้ำมันดิบนั้น ประเมินว่าน้ำมันดิบที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อาจทำให้ภาครัฐต้องลดระดับการอุดหนุนราคาน้ำมันและปล่อยราคาน้ำมันขึ้นบางส่วน จึงทำให้ KKP Research ประเมินว่า หากไม่มีการอุดหนุนเลย ราคาน้ำมันดีเซลอาจเพิ่มขึ้นเป็น 38-40 บาทต่อลิตรจากที่ตรึงไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร ราคาก๊าซ LPG นั้น อาจปรับเพิ่มขึ้นเป็น 430 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมจากที่รัฐบาลตรึงราคาไว้ที่ 313 บาท นอกจากนี้ ราคาค่าไฟฟ้าและราคาสินค้าอื่น ๆ ที่เป็นสินค้าควบคุม อาจมีโอกาสปรับสูงขึ้นตามต้นทุน