เขียวยกแผง! ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นเกือบ 70 จุด

266
0
Share:

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 31,037 จุด +69 จุด หรือ +0.23% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 3,845 จุด +13 จุด หรือ +0.36% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ระดับ 11,361 จุด +39 จุด หรือ +0.35%

สาเหตุจากบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังคงปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นระหว่าง 0.5% หรือ 0.75% ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นไปได้ในการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 26-27 กรกฎาคมนี้ เพื่อเป้าหมายในการกดเงินเฟ้อลดลงให้เข้าเป้าหมายที่กำหนดไว้

ตลาดซื้อขายสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 98.53 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -0.97 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -1.00% รวม 2 วันทำการติดกันทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงถึง 9.90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือร่วง -9.24% ส่งผลราคาปิดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 มีราคาพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 130.50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ที่สูงสุดนับตั้งแต่กันยายน 2008 หรือในรอบ 13 ปี 5 เดือน

ด้านราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ ปิดที่ 100.69 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล -2.08 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือ -2.00% รวม 2 วันทำการติดกันทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงถึง -12.81 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือร่วง -11.45% ส่งผลราคาปิดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ มีราคาสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2008 หรือในรอบ 13 ปี 7 เดือน โดยเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565 มีขึ้นมาสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 139.13 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สำหรับราคาน้ำมันดิบเบร็นท์ อังกฤษ ทะเลเหนือ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งถูกเทขายอย่างหนักมากถึง -10.73 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลนั้น ทำสถิติส่วนต่างราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำมากที่สุดอันดับ 3 นับตั้งแต่ราคาน้ำมันดิบดังกล่าวเริ่มทำการซื้อขายครั้งแรกเมื่อปี 1988 หรือในรอบ 34 ปี ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบที่ทำสถิติดำดิ่งมากที่สุดในรอบ 1 วัน คือ -16.84 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม

สาเหตุนักลงทุนกังวลอย่างมากกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอย ซึ่งอาจจะกำลังเกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นแล้ว ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันดิบอาจลดลงมาก ท่ามกลางภาวะน้ำมันดิบตลาดโลกตึงตัวต่อเนื่อง ด้านธนาคารซิตี้ กรุ๊ป ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะตกต่ำลงอยู่ที่ระดับ 65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในสิ้นปีนี้ ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเกิดภาวะถดถอย

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังคงมีผลต่อพื้นฐานราคาน้ำมันดิบในระดับสูงนั้น ยังคงมีผลต่อการซื้อขายในระยะกลาง ได้แก่ กลุ่มโอเปกพลัสแถลงผลการประชุมว่ามีมติยึดตามข้อตกลงกาคปรับขึ้นกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามมติเดิมคือ 648,000 บาร์เรล/วันในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะน้ำมันดิบตลาดโลกตึงตัวอย่างมาก นอกจากนี้ คนงานในแท่งขุดเจาะน้ำมันดิบทั้ง 74 แห่งในประเทศนอร์เวย์จะผละงานประท้วงตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมันดิบราว 5% ของประเทศนอร์เวย์ ทำให้น้ำมันดิบขาดหายจากตลาดโลกราววันละ 320,000 บาร์เรล นอกจากนี้ ความไม่สงบที่รุนแรงในประเทศลิเบียส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตแบะการส่งออกน้ำมันดิบลดลงมาเหลือระหว่าง 365,000-409,000 บาร์เรล/วัน จากเดิมที่ส่งออกได้ถึง 865,000 บาร์เรล/วัน

ขณะที่ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย ยอมรับว่าแนวคิดจำกัดเพดานราคาน้ำมันดิบรัสเซียของกลุ่มจี 7 จะส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งสูงอย่างแน่นอน

ราคาทองคำล่วงหน้านิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 1,738.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -28.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.5% ส่งผลทำสถิติราคาทองคำปิดต่ำสุดในรอบ 9 เดือน รวม 2 วันทำการติดกันทำให้ราคาทองคำล่วงหน้าดำดิ่งมากถึง -69.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หรือร่วง -3.4% ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำล่วงหน้ามีราคาสูงสุดระหว่างวันขึ้นไปถึง 2,072.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 หรือในรอบ 18 เดือน

สาเหตุจาก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาปรับแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 20 ปี สอดรับกับแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในสหรัฐอเมริกาจะเร่งตัวมากขึ้นต่อเนื่อง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินในคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ราคาทองคำตลาดโลกในทางเทคนิคหลุดระดับ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน