เงินรูปีปากีสถานร่วงหนักเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ เสี่ยงสูงชักดาบต่างชาติ

1011
0
Share:

ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา 21 กรกฎาคม 2565 ค่าเงินรูปีของประเทศปากีสถานเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ ร่วงลงอย่างรุนแรงมาแตะที่ระดับ 228 ต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือ -7.6% ไม่เพียงทำสถิติเงินรูปีปากีสถานอ่อนค่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ แต่ยังทำสถิติค่าเงินรูปีรายสัปดาห์ที่ต่ำสุดในรอบ 23 ปี 8 เดือน หรือนับตั้งแต่ตุลาคม ปี 1998 เป็นต้นมา

สาเหตุจากเงินกู้ช่วยเหลือวิกฤตเศรษฐกิจจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟที่ตกลงกันได้กับรัฐบาลปากีสถานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่า 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 44,400 ล้านบาท จะไม่พอที่จะไถ่ถอนพันธบัตรรัฐบาลให้กับนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและอยู่ในสถานะเลวร้าย เมื่อสิ้นสุดมิถุนายนที่ผ่านมา เงินทุนสำรองดังกล่าวเหลือเพียง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 370,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิมที่ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 592,000 ล้านบาทเมื่อปีผ่านมา ซึ่งหมายถึงไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศภายในเวลา 30 วัน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ค่าเงินรูปีของประเคปากีสถานเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ ร่วงลงอย่างรุนแรงมาแตะที่ระดับ 221.99 ต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือ -3.2% ทำสถิติเงินรูปีปากีสถานอ่อนค่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ฟิทช์ เรตติ้ง บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนชื่อดังระดับโลก ประกาศปรับลดมุมมองด้านภาวะเศรษฐกิจของประเทศปากีสถานจากระดับมีเสถียรภาพ ลงมาเป็นลบ ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลปากีสถานเข้าใกล้สถานะพันธบัตรขยะ หรือไม่ควรลงทุน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2565 มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือการลงทุนชื่อดังระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ปรับลดมุมมองด้านเศรษฐกิจลงมาอยู่ลบเช่นกัน

สำหรับสาเหตุที่เศรษฐกิจปากีสถานตกต่ำอย่างย่ำแย่นั้น เป็นผลจากสถานะเงินกู้จากเจ้าหนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับสูง สภาวะตลาดการเงินภายในประเทศที่ย่ำแย่ เงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนพุ่งสูงถึง 23.1% มากเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางปากีสถานสูงถึง 15% ส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวอย่างรุนแรงแต่เพื่อเป้าหมายสำคัญในการแก้วิกฤตเงินเฟ้อ

สอดคล้องกับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดทุนพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว รวมถึงปัจจัยการเมืองที่มีความเสี่ยงสูงและไม่แน่นอนสูงซึ่งจะกระทบต่อผลการเจรจาขอกู้ยืมเงินช่วยเหลือและแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ

ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า ส่วนต่างความเสี่ยงพันธบัตรของปากีสถานสูงเกิน 10% หรือเทียบเท่ากับ 1,000 เบซิสพ้อยท์ (1,000 bsp) โดยพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 18.1% ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงความเป็นไปไม่ได้สูงมากที่รัฐบาลปากีสถานไม่มีความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ให้เจ้าหนี้ต่างประเทศ

ทั้งนี้ การเจรจากู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟที่รัฐบาลปากีสถานต้องการนั้น มีมูลค่า 1,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 43,290 ล้านบาท หากการเจรจาดำเนินการต่อ และประสบความสำเร็จ จะทำให้มูลค่าเงินกู้ในภาพรวมจากไอเอ็มเอฟเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 259,000 ล้านบาท จากเดิมที่อยู่ในกรอบ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 222,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อตกลงตั้งแต่ปากีสถานขอกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟเมื่อปี 2019 เป็นต้นมา