เทรนด์ที่อยู่อาศัยเน้นเช่ามากกว่าซื้อ จากความกังวลดอกเบี้ยขาขึ้น กำลังซื้อชะลอ

นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้มีสัญญาณเติบโต แต่ไม่หวือหวาอย่างที่คาด ยังมีปัจจัยท้าทายรอบด้าน ทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว ภาวะหนี้ครัวเรือน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการวางแผนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคกังวลต่อดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้กำลังผ่อนบ้านมีภาระเพิ่มขึ้นและใช้เวลาผ่อนชำระนานขึ้น

โดยที่ภาพรวมดัชนีราคาอสังหาฯ ไตรมาสล่าสุดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยตามกลไกตลาดในทุกประเภทที่อยู่อาศัย ให้สอดคล้องกับต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น สวนทางความต้องการซื้อที่ลดลง ผู้บริโภคชะลอแผนซื้อที่อยู่อาศัย รอดูสถานการณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น หากผู้บริโภคต้องการจะซื้อบ้าน คอนโดในเวลานี้ควรเช็กสภาพคล่องทางการเงินก่อนเป็นอันดับแรก มีการวางแผนการเงินที่รัดกุมและรอบคอบ หรือเลือกซื้อบ้านมือสองมีต้นทุนราคาถูกกว่า หรือเลือกเช่าจะตอบโจทย์ทางการเงินมากกว่าแทน

ทั้งนี้จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด ส่งผลให้เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยล่าสุดความต้องการเพิ่มขึ้น 108% ขณะที่ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 7% เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ และพฤติกรรมคนรุ่นใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ ส่งเสริมให้ดีมานด์ในตลาดเช่าสูงมากขึ้น

ขณะที่ ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกประเภท อย่างคอนโดและอพาร์ทเมนต์ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 8% เทียบไตรมาสต่อไตรมาส แต่ยังทรงตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และหากเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด ดัชนีค่าเช่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นถึง 51% สวนทางกับคอนโดฯ และอพาร์ทเมนต์ที่ลดลง 9% สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมาผู้ให้เช่าได้ลดราคาให้สอดคล้องกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพื่อดึงดูดการตัดสินใจเช่า ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันในตลาดเช่าที่สูงมากขึ้น

“ภาพรวมค่าเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 10,000-30,000 บาท/เดือน โดยคอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ 10,000-30,000 บาท/เดือน บ้านเดี่ยวอยู่ที่ 100,000 บาทขึ้นไป/เดือน สะท้อนให้เห็นว่าบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทำเลทองมีนำมาปล่อยเช่ามากขึ้น ซึ่งกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งผู้บริโภคที่มีการใช้จ่ายสูง มีแผนย้ายถิ่นฐานในอนาคต และชาวต่างชาติที่มาพำนักในไทย”นายวิทยา กล่าว