เฟซบุ๊กประกาศเลิกผลิตสมาร์ทวอชท์-จอภาพอัจฉริยะ ชี้เกือบครึ่งที่ปลดพนักงานเป็นไอที

238
0
Share:
เฟซบุ๊ก ประกาศเลิกผลิตสมาร์ทวอชท์-จอภาพอัจฉริยะ ชี้เกือบครึ่งที่ ปลดพนักงาน เป็น ไอที

นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอเมตา อินคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า มาตรการลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อไป คือยกเลิกการผลิตนาฬิกาสมาร์ทวอชท์ และสมาร์ทดิสเพลย์ หรือจอภาพอัจฉริยะ นอกจากนี้ ประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ด้วยการยุบรวมแผนกบริการโทรติดต่อด้วยระบบวิดีโอและเสียงบนโซเชียลมีเดียในเครือของเมตาเข้าด้วยกัน รวมถึงนำฝ่ายบริการข้อความเข้ามารวมกันเพื่อตั้งแผนกใหม่ขึ้นมา

ฝ่ายบริหารของเมตา อินคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การปลดพนักงานจำนวนกว่า 11,000 คนเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านไป ซึ่งเป็นการปลดพนักงานครั้งแรก และครั้งที่มากที่สุดนับตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเป็นเวลา 18 ปีนั้น มีพนักงานในสายงานไอทีที่ถูกปลดออกมากถึง 54% ของจำนวนพนักงานกว่า 11,000 คน อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมของการปลดพนักงานในครั้งนี้เป็นการปลดพนักงานทุกแผนกของเมตา อินคอร์ปอเรชั่น

ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 เมตา อินคอร์ปอเรชั่น ประกาศปลดพนักงานมากกว่า 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในปัจจุบันกว่า 87,000 คน

นายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอเมตา อินคอร์ปอเรชั่น ส่งอีเมล์พร้อมระบุข้อความถึงพนักงานที่เข้าข่ายถูกปลดออกในครั้งนี้ ว่า วันนี้ ผมขอแบ่งปันบางสิ่งบางอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากที่บริษัทได้ดำเนินการในประวัติศาสตร์ของเมตา ผมได้ตัดสินใจแล้วที่จะลดขนาดของบริษัทเกี่ยวกับจำนวนพนักงานลง 13% ด้วยการปลดพนักงานที่มีความสามารถของเรากว่า 11,000 คน เมตา อินคอร์ปอเรชั่น ได้เตรียมดำเนินการขั้นตอนต่อไปที่จะทำให้บริษัทกลายเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างกระชับมากขึ้น และเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการตัดลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และขยายเวลามาตรการหยุดรับพนักงานใหม่ถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 ในปี 2566

การปลดพนักงานครั้งแรกในรอบ 18 ปี หรือนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในชื่อเดิมว่าเฟซบุ๊กนั้น เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ยากลำบากในขณะนี้ ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารได้เตือนแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 4 ที่มีทิศทางที่ย่ำแย่ ส่งผลให้ราคาหุ้นเมตาดำดิ่งกว่า 20%

นักลงทุนในเมตา อินคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า มีความกังวลอย่างมากกับการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการดำเนินกิจการพุ่งขึ้นถึง 19% ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา โดยมีค่าใช้จ่ายและต้นทุนรวมสูงถึง 22,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 839,800 ล้านบาท

ในขณะที่ยอดขายโฆษณาในภาพรวมของเมตา อินคอร์ปอเรชั่นในไตรมาสที่ 3 ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา โดยมียอดขายภาพรวมที่ 27,710 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.05 ล้านล้านบาท ท่ามกลางรายได้การดำเนินกิจการดำดิ่งมากถึง -46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ 5,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 215,080 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนจำนวนมากมายมหาสารในโมเดลธุรกิจที่เรียกว่าเมตาเวิร์สของซีอีโอมาร์ค ซักเตอร์เบิร์ก พบว่า นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ได้ใช้เงินลงทุนสูงมากถึง 9,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 357,200 ล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนได้ นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารยังคาดการณ์ว่าเมตาเวิร์สจะทำให้เกิดผลการดำเนินงานขาดทุนปีข้ามปีด้วย