เลิกไม่อยู่ร่วมโควิดอาจเห็นคนจีนเสียชีวิตกว่า 2 ล้านคน เศรษฐกิจทรุดต่อเนื่อง

337
0
Share:
เลิก ไม่อยู่ร่วมโควิด อาจเห็นคน จีน เสียชีวิตกว่า 2 ล้านคน เศรษฐกิจ ทรุดต่อเนื่อง

แอร์ฟินิตี้ สำนักวิจัยงานสาธารณสุขชื่อดังในกรุงลอนดอน อังกฤษ เปิดเผยว่า จากงานวิจัยจะพบว่าหากรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันโรคระบาดโควิด-19 มากขึ้นไปเรื่อยๆจนนำไปสู่การยกเลิกนโยยายไม่อยู่ร่วมโรคโควิด-19 ในอนาคต จะเกิดภาวะความสับสนอลหม่านในประเทศ โรงงานอุตสาหกรรมจะขาดแรงงานทำงาน ผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 จะมีจำนวนมากมายถึงภาวะล้นโรงพยาบาล และผู้ติดเชื้อรวมถึงกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อจะอยู่แต่ภายในบ้านที่พักอาศัย ซึ่งอาจมีจำนวนมากเกินกว่าจะไปรักษาตัวในโรงพยาบาล จนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ป่วยหนักในบ้านที่พักอาศัย ดังนั้น จากสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้มีประชาชนชาวจีนเสียชีวิตจากโรคระบาดโควิด-19 ระหว่าง 1.3 ถึง 2.1 ล้านคน

ขณะที่ อาลิ ม็อคแดด ศาสตราจารย์แห่งสถาบันการประเมินและมิติสุขภาพ และยังเป็นหัวหน้าฝ่ายกลยุทธสาธารณสุข มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า จากวันนี้ไปเป็นเวลา 1 เดือน จะได้เห็นจำนวนผู้ติดโรคระบาดโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในจีนแผ่นดินใหญ่ และตามด้วยยอดผู้ป่วยโรคดังกล่าวเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นใน 2 สัปดาห์ถัดมา สิ่งสำคัญ คือสถานการณ์ดังกล่าวในอนาคตจะไม่กลับมาเหมือนอย่างทุกวันนี้ในจีนแผ่นดินใหญ่

คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2023 ที่อยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนมกราคม สอดรับกับฤดูหนาวในจีนแผ่นดินใหญ่ที่จะเป็นปัจจัยเร่งอัตราและจำนวนการติดเชื้อของประชาชนชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม ผู้อำนวยการ ศูนย์นโยบายและวิจัยโรคติดต่อ มหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สภาพในจีนแผ่นดินใหญ่ขณะนี้ตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ดี อาจเป็นครั้งแรกที่จำนวนประชากรทั้งประเทศกว่า 1,400 ล้านคน โดยเฉพาะที่ยังไม่ได้ติดเชื้อจะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะติดเชื้อครั้งแรก ที้น่าห่วง คือผู้ติดเชื้อครั้งแรกจากนี้ไปจะมีความเสี่ยงกับการเผชิญภาวะโรคที่รุนแรง นั่นหมายถึงอาจต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือมีอาการป่วยรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

ด้านนายแซม ฟาเซริ นักวิเคราะห์ด้านเภสัชกรรม บลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนไม่มีทางเลือกในการควบคุมและป้องกันภาวะการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ดีไปกว่านโยบายการไม่อยู่ร่วมโรคโควิด-19 หรือซีโร่โควิดที่ใช้ในปัจจุบัน

สาเหตุจากเมื่อใดก็ตามที่ยกเลิกนโยบายดังกล่าว จะทำให้มีผู้ป่วยโรคระบาดโควิด-19 ด้วยอาการรุนแรงถึงขั้นต้องใช้ห้องไอซียูเป็นจำนวนมากถึง 5.8 ล้านคน ซึ่งระบบสาธารณสุขจีนทุกวันนี้ไม่สามารถรองรับปริมาณผู้ป่วยที่มีอาการเข้าขั้นไอซียูเป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้ ปัจจุบัน อัตราการครองเตียงผู้ป่วยไอซียูในจีนอยู่ที่ 4 เตียงไอซียูต่อผู้ป่วย 100,000 คน อัตราส่วนดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าอัตราส่วนจำนวนเตียงไอซียูต่อผู้ป่วย 100,000 คนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างมาก

ในช่วง 6 เดือนแรกของการระบาดโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน พบว่า ประมาณ 1 ใน 4 หรือ 25% ของประชาชนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปต้องติดโรคโควิด-19 ดังนั้น จำนวนสัดส่วนผู้ติดเชื้อที่ใกล้เคียงกันที่ 25% ในจีนแผ่นดินใหญ่ จะทำให้มีปริมาณผู้ติดเชื้อมากถึง 363 ล้านคน และคาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตเกือบ 620,000 คน

นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยโรคระบาดโควิด-19 ที่มีอาการเข้าขั้นรักษาตัวในห้องไอซียูรายวัน จะมีจำนวนมากถึงวันละ 32,000 คน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2 เท่าของจำนวนเตียงรักษาผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอย่างเข้มข้นที่มีอยู่เพียง 14,500 เตียงในปัจจุบัน

นายแลรี่ ฮู หัวหน้าสายงานเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ สถาบันการเงินชื่อว่า แมคควอรี กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในขณะที่การจะอยู่ร่วมกับโรคระบาดโควิด-19 ของจีนจะให้ประโยชน์กับเศรษฐกิจจีนก็จริง แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในรอบแรกล้วนเป็นด้านลบทั้งสิ้น ทั้งความต้องการและปริมาณที่จะตอบสนองจะเกิดภาวะตึงตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากยอดผู้ติดโรคระบาดโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกันประชาชนชาวจีนจำนวนมากจะรู้สึกไม่อยากออกไปนอกบ้านพักที่อยู่อาศัย ผลกระทบทางลบจะตกไปถึงการบริโภคในประเทศด้วย

หัวหน้าสายงานเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่ สถาบันการเงินชื่อว่า แมคควอรี กรุ๊ป เปิดเผยว่า ยอดติดเชื้อที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากทุกวันนี้จะไปบดการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้ไปถึงไตรมาส 1 ปี 2023 ซึ่งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของจีนจะตกต่ำจากที่ย่ำแย่ในปัจจุบันอีก ซึ่งจะมีจีดีพีลดต่ำกว่า 3%