เหล็กก็ร่วงได้! ราคาเหล็กไทยปีนี้ส่อแววทรุดอาจลงกว่า 6% เผชิญการแข่งขันสูงกับเหล็กจีน

204
0
Share:

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าปี 2566 ราคาเหล็กไทยหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยราคาเหล็กทรงยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 22,434 บาท/ตัน ลดลง 12% และเหล็กทรงแบนเฉลี่ยอยู่ที่ 27,683 บาท/ตัน ลดลง 16% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาเหล็กโลกที่ปรับลดลงตามความต้องการใช้เหล็กที่หดตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เผชิญปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงปัจจัยภายในของไทยจากการหดตัวของการลงทุนก่อสร้างภาครัฐตามการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าราคาเหล็กไทยในปี 2567 จะยังปรับลดลงจากปีก่อนราว 6% แต่ยังเป็นระดับราคาที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยราคาเหล็กทรงยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 21,000 บาท/ตัน และราคาเหล็กทรงแบนเฉลี่ยอยู่ที่ 26,000 บาท/ตัน ซึ่งราคาเหล็กไทยในปี 2567 คาดหดตัวราว 6% จากปีก่อนผู้ผลิตเหล็กไทยแข่งขันสูงกับเหล็กนำเข้าจากจีน

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับลดลงของราคาเหล็กไทยในปี 2567 เป็นผลมาจาก

ราคาเหล็กโลกยังมีแนวโน้มปรับลดลง ตามการลงทุนก่อสร้างในหลายประเทศยังมีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่ออุปสงค์เหล็กโลกให้เติบโตได้จำกัด โดยเฉพาะความต้องการใช้เหล็กของจีนที่ยังมีทิศทางฟื้นตัวช้าจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งสอดคล้องไปกับข้อมูลของ The China Metallurgical Industry and Research Institute ที่คาดการณ์ว่าอุปสงค์เหล็กในจีนน่าจะยังหดตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาราว 1.7% สวนทางกับการผลิตเหล็กของจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง

ราคาเหล็กในประเทศถูกกดดันจากการไหลเข้าของเหล็กจีน โดยในปี 2566 ไทยนำเข้าเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนอยู่ที่ราว 6 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 27% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งอาเซียนยังคงเป็นตลาดส่งออกหลักของจีน คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของปริมาณส่งออกเหล็กทั้งหมด ทำให้หลายประเทศผู้ผลิตเหล็กในอาเซียนเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นจากการส่งออกเหล็กของจีนที่นับเป็นปริมาณการส่งออกสูงสุดในรอบ 7 ปี ขณะที่ไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากการเริ่มเห็นข่าวปิดกิจการโรงงานเหล็กทั้งที่เป็น SMEs หรือแม้กระทั่งรายใหญ่

ผู้ผลิตเหล็กไทยแข่งขันลำบากกับเหล็กนำเข้าจากจีนที่ราคาถูกกว่า เนื่องจากไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าเหล็กวัตถุดิบมาผลิต/แปรรูป (คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% ของอุปทานเหล็กในประเทศ) ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของไทยสูงกว่าจีนที่ผลิตเหล็กตั้งแต่ต้นน้ำ และมี Economy of scale สะท้อนผ่านราคาเหล็กที่ผลิตในไทยบางรายการสูงกว่าราคาเหล็กจากจีน

ทั้งนี้ ในปี 2566 นอกจากผลของราคาเหล็กที่ลดลงแล้ว ผู้ผลิตเหล็กไทยยังเผชิญรายได้ที่หดตัวมากขึ้นตามยอดขายที่ลดลง ซึ่งบางรายที่แข่งขันไม่ได้ก็จำเป็นต้องลดการผลิต เห็นได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทยยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง บางส่วนที่ประคองตัวได้ มีการปรับกลยุทธ์โดยขยายไลน์การผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือหันไปผลิตเหล็กเกรดพิเศษต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ไปจนถึงการยกระดับผลิตภัณฑ์สู่เหล็กคาร์บอนต่ำ

จากสภาพการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่าแม้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศจะส่งสัญญาณฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีตามการลงทุนก่อสร้างภาครัฐที่กลับมาเดินหน้าได้ แต่ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มได้ยากจากการแข่งขันสูงกับเหล็กนำเข้า ส่งผลให้การรักษา Margin ของผู้ผลิตเหล็กไทยยังเผชิญความยากลำบากอย่างต่อเนื่อง