เอกชนส่วนใหญ่กลัวเงินเฟ้อมากที่สุด ตัดลดค่าใช้จ่ายรับยุคดอกเบี้ยแบงก์ชาติขาขึ้น

358
0
Share:

นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 ในเดือนกรกฎาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร” พบว่า จากอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 7.6% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง รวมทั้งปัจจัยภายนอกจากทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ส่งสัญญาณเตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยไปถึงระดับ 3.4% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้มีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า เพื่อรักษาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศไม่ให้ห่างกันจนมากเกินไป จนไปกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและค่าเงินบาท

ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอว่า กรณี ธปท. มีความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ควรพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น รวมทั้งควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบางธุรกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ จากโควิด-19 เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan), การสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้, มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไป เป็นต้น โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 0.75–1.00% เพื่อที่จะรักษาทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย

ในส่วนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง มองว่า ถึงแม้การอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยส่งเสริมขีดความสามารถด้านราคาในการส่งออกสินค้าไทย แต่อีกมุมหนึ่งก็ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนพลังงาน สินค้า และวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น จนกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งภาครัฐควรให้ความสำคัญในการกำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมาตรการป้องปรามหรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทและภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม โดยค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจควรอยู่ที่ระดับ 32-34 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้แนะให้ผู้ประกอบการทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินบาทที่อ่อนค่า เช่น การซื้อหรือขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) หรือการซื้อสิทธิ์ที่จะซื้อหรือขายเงินสกุลต่างประเทศล่วงหน้า (Option Contract) เป็นต้น

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 209 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 19 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางหลักในการรับมือต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
• อันดับที่ 1: ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 33.0%
• อันดับที่ 2: เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่ 19.6%
• อันดับที่ 3: ปรับวิธีการบริหารกระแสเงินสด เช่น กู้ระยะยาว แทนการกู้เงินเบิกเกินบัญชี OD 18.7%
• อันดับที่ 4: ชะลอการลงทุน 18.7%
• อันดับที่ 5: เปลี่ยนวิธีการลงทุน เช่น ระดมทุนจากผู้ถือหุ้นในบริษัท 7.2%
• อันดับที่ 6: อื่นๆ 2.8%

2. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร
• อันดับที่ 1: ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป 52.6%
• อันดับที่ 2: มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 52.2%
• อันดับที่ 3: สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ และเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed rate loan) 45.5%
• อันดับที่ 4: มาตรการช่วยเหลือทางภาษีทั่วไป 45.5%

3. คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ณ ปี 2566 จะอยู่ในระดับใด
• อันดับที่ 1: 0.75-1.00% 43.5%
• อันดับที่ 2: 1.00-1.25% 20.6%
• อันดับที่ 3: คงที่ 0.50% 12.4%
• อันดับที่ 4: 1.25-1.50% 7.7%
• อันดับที่ 5: 1.5-1.75% 7.2%
• อันดับที่ 6: 1.75-2.00% 5.3%
• อันดับที่ 7: มากกว่า 2.00% 3.3%

4. ค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับภาคอุตสาหกรรมควรอยู่ในระดับใด
• อันดับที่ 1: 32-34 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 44.0%
• อันดับที่ 2: 34-36 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 37.8%
• อันดับที่ 3: 30-32 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 11.0%
• อันดับที่ 4: 36-38 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 6.7%
• อันดับที่ 5: มากกว่า 38 บาท / ดอลลาร์ สรอ. 0.5%

5. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการลดผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างไร
• อันดับที่ 1: ทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน 58.4%
• อันดับที่ 2: เปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบภายในประเทศ 47.4%
• อันดับที่ 3: ขึ้นราคาขายในประเทศเพื่อส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภค 34.9%
• อันดับที่ 4: การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการซื้อขายระหว่างกัน 19.6%

6. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างไร
• อันดับที่ 1: กำกับดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมาตรการป้องปรามหรือจำกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท 63.2%
• อันดับที่ 2: ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ 52.2%
• อันดับที่ 3: มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) 43.1%
• อันดับที่ 4: ปรับเพดานราคาสินค้าควบคุมให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 32.5%

7. ปัจจัยที่ควรนำมาเป็นเหตุผลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
• อันดับที่ 1: รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท 72.2%
• อันดับที่ 2: ชะลอการไหลออกของเงินทุน และดึงดูดผู้ลงทุนต่างประเทศ 52.2%
• อันดับที่ 3: รักษาเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้อฝังลึก (Entrenched Inflation expectation) เช่น การปรับขึ้นราคาสินค้าล่วงหน้าเนื่องจากการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับขึ้น 38.8%
• อันดับที่ 4: ลดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง 29.7% เป็นต้น