เอกชนห่วงปรับ ครม. “เศรษฐา 2” “ปานปรีย์” ลาออกกระทบทีมเศรษฐกิจระยะสั้น ขอให้วางแผนเป็นขั้นตอน

59
0
Share:
เอกชนห่วงปรับ ครม. “เศรษฐา 2” “ปานปรีย์” ลาออกกระทบทีมเศรษฐกิจระยะสั้น ขอให้วางแผนเป็นขั้นตอน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หลังราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยนายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมบทบาทหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการคลังและงบประมาณประเทศ ในขณะที่หลังการประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนั้น

ส่วนตัวมองว่า กระทรวงการต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของทีมเศรษฐกิจโดยเฉพาะต่างประเทศ ซึ่งนายปานปรีย์ก็ได้อธิบายในจดหมายลาออกว่าได้ทำอะไรบ้าง ก็คงจะกระทบในช่วงสั้นบ้าง โดยการลาออกดังกล่าว ถือว่าสร้างความตกใจและประหลาดใจมาก ดังนั้นรัฐบาลอาจจะมีการเจรจโดยหาคนกลางเพื่อปรับความเข้าใจสอบถามถึงความไม่สบายใจหรืออาจจะต้องหาคนมาแทน ดังนั้น จะต้องดูว่าใครจะมาทำหน้าที่แทน เป็นคนที่มีความสามารถมากน้อยแค่ไหน และมีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร

สำหรับ ครม.เศรษฐา 2 ที่ออกมาถือเป็นการปรับให้มีความคล่องตัวขึ้น โดยเฉพาะระยะต่อไปที่รัฐบาลจะเข้าโหมดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะงบประมาณค้างท่อและล่าช้ากว่า 8 เดือน จะได้รับการอนุมัติ รวมถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลเร่งเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายประชาชนช่วงปลายปี 2567

ทั้งนี้ หากดูการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ถือว่ามีทีมงานที่แข็งแกร่งและพร้อมขับเคลื่อนนโยบาย จึงคิดว่าจากนี้ไปนายกรัฐมนตรี จะเน้นนโยบายเศรษฐกิจที่มีความสำคัญมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

นอกจากนี้ จากกรณีที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรี เชิญ CEO ธนาคารใหญ่ 4 แห่ง หารือและขอความร่วมมือลดต้นทุนดอกเบี้ยให้เอสเอ็มอี โดยมุ่งเป้าที่กลุ่มเปราะบางที่ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในช่วง 6 แรกก่อน ซึ่งช่วยลดภาระลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้ทำธุรกิจต่อได้ในช่วงที่ให้นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมการไว้จะทยอยออกมาตามกรอบระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด

ทั้งนี้ จากการโปรโมทภาคการท่องเที่ยวหรือซอฟต์พาวเวอร์ไทย ได้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงสงกรานต์มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยทุกพื้นที่ที่จัดงานมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเต็มแน่นพื้นที่ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่เห็นมานานและช่วยให้เม็ดเงินเข้ามามาก โดยเฉพาะภาคบริการ การโรงแรม ได้ประโยชน์มาก ซึ่งตอนนี้มีนโยบายเมืองรองและซอฟต์พาวเวอร์เข้ามาสนับสนุนเพิ่ม

“การท่องเที่ยวจะเป็นพระเอกปีนี้ และหากบวกกับซอฟต์พาวเวอร์ที่ภาครัฐกำลังทำจะทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย 50,000 บาทต่อคน จากเดิม 40,000 บาทต่อคน ส่วนการส่งออกจะทยอยดีขึ้น และการที่งบประมาณรัฐออกมาจะทำให้มีเงินเข้าระบเศรษฐกิจ และเมื่อบวกกับเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ภาคการผลิตจะเพิ่มการผลิตทั้งในประเทศและส่งออก” นายเกรียงไกร กล่าว

ด้านนายสนั่น อุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การปรับ ครม.ที่นำบุคคลผู้มีความรู้ด้านเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มถือว่าเหมาะสม ซึ่งการปรับ ครม.ครั้งนี้มีรัฐมนตรีที่เข้าใจภาคเอกชน และมีประสบการณ์การบริหารงาน จึงเชื่อว่าจะช่วยรัฐบาลออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าอย่างเต็มที่ คือการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติออกมาทุกกระทรวง