แจกเงินมีผล! KKP หั่นจีดีพีปี 66 เหลือ 2.4% ชี้เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง ปี 67 คาด 3.7%

164
0
Share:
แจกเงินมีผล! KKP หั่น จีดีพี ปี 66 เหลือ 2.4% ชี้เศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง ปี 67 คาด 3.7%

การที่จีดีพีไตรมาส 3 ของปีนี้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ 1.5% ขณะที่จีดีพีฝั่งอุปสงค์โตได้ถึง 5.6% ความแตกต่างกันค่อนข้างมากของจีดีพีฝั่งอุปสงค์และอุปทาน ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอกว่าที่ตัวเลขแสดงเศรษฐกิจในประเทศ อ่อนแอกว่าที่เห็นการบริโภคของจีดีพีไตรมาส 3 โตสูงถึง 8% ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและภาคธนาคารชะลอการปล่อยกู้สินเชื่อภาคครัวเรือน

เมื่อพิจารณาประกอบกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ แล้ว การใช้จ่ายในประเทศน่าจะโตได้น้อยกว่าตัวเลขดังกล่าวมาก ภายใต้ข้อสังเกตดังต่อไปนี้
1) ยอดขายบ้านและรถยนต์ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะรายได้ในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ช้า การปล่อยกู้ของสินเชื่อภาคธนาคารที่ตึงตัวขึ้นมาก และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเร็วทำให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น
2) ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาอ่อนแอต่อเนื่องสวนทางกับจีดีพีฝั่งการใช้จ่าย โดยในช่วงที่ผ่านมาทิศทางกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยค่อนข้างแย่และมีจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการณ์รายได้ (Earning) ลงมากกว่าจำนวนหุ้นที่ถูกปรับการคาดการณ์รายได้ขึ้น ขณะที่กำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ลดลงมากว่า 10% จากต้นปี 66 ซึ่งลดลงมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะอยู่ในช่วงที่ชะลอตัวมากกว่าฟื้นตัวได้ดี
3) อัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (Same store sale growth) ของบริษัทจดทะเบียนมีทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยชะลอตัวลงทั้งในกลุ่มของสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย และมีแนวโน้มปรับเป็นติดลบในไตรมาสที่ 3 ปี 66 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
4) สินเชื่อในภาคธนาคารหดตัว สะท้อนว่าธนาคารพาณิชย์มีมุมมองที่ไม่ดีนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อในระยะข้างหน้า จึงชะลอการปล่อยกู้ลง
5) ผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนในปีภาษีที่ผ่านมา ภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งควรสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแม้ปรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ลดลงแล้ว ซึ่งผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง

แม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงอ่อนแอและไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีมากนัก แต่ได้ปรับจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น 3.7% จาก 3 ปัจจัยคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (ดิจิทัลวอลเล็ต) ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ 0.8% ของจีดีพี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้า ,การท่องเที่ยวที่ยังคงฟื้นตัวได้โดยคาดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 35 ล้านคนในปี 67 และ การส่งออกที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวตามวัฏจักรการผลิตและการส่งออกโลก โดยมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่รัฐบาลอาจไม่สามารถผลักดันมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะข้อจำกัดด้านการคลังและกฎหมาย กรณีที่ไม่รวมผลจากมาตรการนี้คาดว่าจีดีพีจะชะลอลงเหลือ 2.9% ในปี 67 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการเติบโตในระยะยาวมาอย่างต่อเนื่อง

หากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตสามารถออกใช้ได้ตามที่รัฐบาลแถลงจะมีต้นทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท ขณะที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น แต่ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะมีค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับต้นทุน โดยประเมินตัวคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ที่ 0.3 เท่า ซึ่งส่งผลบวกต่อจีดีพีประมาณ 0.8% ในปี 67 โดยผลดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีหน้าหากมีการออกใช้จริง และเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลงอย่างมากหลังจากนั้น