แบงก์ชาติสหรัฐเปิดแผนขึ้นดอกเบี้ย 7-8 ครั้งใน 3 ปีหน้า

405
0
Share:

ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น หรือดอกเบี้ยนโยบายที่ใช้ควบคุมภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา โดยมีมุมมองว่า ดอกเบี้ยดังกล่าวจะปรับขึ้นทั้งหมด 8 ครั้งในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย ปี 2565 ปรับขึ้น 3 ครั้ง ปี 2566 ปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้ง และในปี 2567 ปรับขึ้น 2 ครั้ง โดยในแต่ละครั้งจะปรับขึ้นครั้งละ 0.25% การคาดการณ์จากเฟดในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนนโยการเงิน หรือดอกเบี้ยดังกล่าวในเชิงรุกอย่างมากเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนหน้านี้ที่เฟดมองว่าอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งภายในปีหน้า

สำหรับการเริ่มต้นปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นครั้งแรกของเฟดในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 นั้น คาดการณ์ว่าจะเริ่มปรับขึ้นในเดือนมิถุนายน 2565 โดยขยับดอกเบี้ยขึ้น 0.25% อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยระยะสั้นจะให้น้ำหนักกับภาวะการจ้างงานในสหรัฐอเมริกาด้วย หากการจ้างงานเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับเต็มเพดาน ย่อมมีผลต่อการคาดการณ์ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น
ในขณะที่การเร่งยุติมาตรการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในระบบการเงินสหรัฐอเมริกาที่จะดำเนินการก่อนถึงช่วงเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นนั้น เฟดเปิดเผยว่าจะเพิ่มการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล 2 เท่าในเดือนธันวาคม 64 จากเดิมที่เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 495,000 ล้านบาท ขึ้นไปเป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 990,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม 2565 เฟดจะเพิ่มมูลค่าซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลเป็นเดือนละ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.98 ล้านล้านบาท หากเป็นไปตามนี้ เฟดจะสามารถยุติมาตรการดังกล่าวได้ในช่วงต้นปี 2565

เฟดสรุปภาวะเงินเฟ้อปีนี้ พบว่ามีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.3% จากระดับ 4.2% ในขณะที่เงินเฟ้อขั้นพื้นฐานในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นที่ระดับ 4.4% จากที่กำหนดไว้ที่ 3.7% ส่วนปีหน้า 2565 เฟดประเมินเงินเฟ้อทั้ง 2 ประเภทที่ระดับ 2.6% และ 2.7% ตามลำดับ ด้านภาวะการว่างงานในปีนี้ สรุปได้ว่ามีอัตราว่างงานลดลงจาก 4.8% เหลือ 4.3%

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด ได้สรุปอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีสหรัฐอเมริกาในปีนี้ พบว่ามีจีดีพีลดลงจากเดิมที่ 5.9% เหลือ 5.5% สำหรับปี 2565 ได้ปรับตัวเลขจีดีพีขึ้นเป็น 4.0% จากเดิมที่ระดับ 3.8% และในปี 2566 ได้ปรับลดลงเหลือเพียง 2.2% จากเดิมที่ประเมินไว้ 2.5%