แบงก์ชาติเป็น 1 ใน 3 ประเทศที่ขึ้นดอกเบี้ยช้า เสี่ยงสูงแก้เงินเฟ้อยากขึ้นในอนาคต

350
0
Share:

เกียรตินาคินภัทร หรือ KKP Research เปิดเผยว่า ระบุว่า คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้น 50% ในการประชุมรอบหน้าในเดือนสิงหาคม

ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำมากและปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นช้าที่สุด คือ ยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเลยในปีนี้ โดยมีเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและธนาคารกลางยุโรป ที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำกว่าไทย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ ประเทศไทยมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในกลุ่มที่ต่ำมากที่สุดในโลก สะท้อนถึงการปรับนโยบายการเงินของไทยที่เชื่องช้ากว่าโลก

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้าแรงกดดันต่อ ธปท.จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และคาดว่าจะมีอีกหลายประเทศที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นอีก โดยคาดการณ์ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นของเฟดในครั้งนี้จะเป็นการปรับตัวที่เร็วที่สุดรอบหนึ่งเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต

นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1.5% และคาดว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 3.5-4% ภายต้นปีหน้า นอกจากนี้ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1.25% อังกฤษปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1% และเกาหลีใต้ปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 0.75% และหลายธนาคารกลางเหล่านี้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นครั้งละ 0.5-0.75% มากกว่าที่ปกติแล้วจะปรับขึ้นลงครั้งละ 0.25% จากความกังวลว่าการปรับดอกเบี้ยช้าเกินไปจะทำให้อัตราเงินเฟ้อค้างสูงเป็นเวลานานและส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาเงินเฟ้อยากขึ้น

ศูนย์วิจัย KKP Research เปิดเผยต่อไปว่า การดำเนินนโยบายการเงินของไทยที่ปรับตัวช้า และไม่เป็นไปตามทิศทางนโยบายการเงินโลกกำลังสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่ผ่านมา ธปทผ.สื่อสารให้เห็นว่าไทยไม่มีความจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นตามสหรัฐฯ จากสามเหตุผล คือ 1.แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทยเป็นแรงกดดันด้านอุปทานที่เกิดขึ้นชั่วคราวและจะสามารถคลี่คลายลงได้เอง 2.การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวโดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และ 3.การขึ้นดอกเบี้ยและส่วนต่างดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินบาทไม่มาก และที่ผ่านมาการอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับการอ่อนค่าของเงินสกุลภูมิภาค ประกอบกับประเทศไทยมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งทำให้ยังมีความสามารถในการรองรับความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้นได้

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจะเริ่มทำให้ในช่วงหลังจากนี้การตัดสินใจนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงินต้องให้น้ำหนักกับภาวะเงินเฟ้อและปัญหาค่าเงินบาทมากขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในความเสี่ยง 3 ประเด็น คือ 1.ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคกว้างเริ่มดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลง

2. การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอาจใหญ่และยาวกว่าที่คาด โดยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงประมาณเดือนละ 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และกำลังจะทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ปีนี้เป็นการขาดดุลที่มีมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขในปี 2548 โดยเกิดจากทั้งนักท่องเที่ยวที่หายไป ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้เพิ่มเติมหรือสะท้อนว่าเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยมีความแข็งแกร่งน้อยลง

3. ความเสี่ยงในความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อของคนในระบบเศรษฐกิจ การปรับอัตราดอกเบี้ยช้าในภาวะที่เงินเฟ้อสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก โดยปลายปี 2564 ธปท.คาดการณ์เงินเฟ้อไว้เพียง 1.7% และปรับขึ้นต่อเนื่องจนเป็น 6.1%

ศูนย์วิจัย KKP Research มองว่า แรงกดดันต่อตลาดการเงินและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจะมีมากขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 75% ในวันที่ 26-27 กรกฎาคม ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการประชุม กนง.ของไทยครั้งต่อไปในวันที่ 10 สิงหาคม กว่า 2 สัปดาห์ และจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างสหรัฐ และไทย สูงขึ้นถึง 1.875% ซึ่งเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2550 หรือในรอบ 15 ปีผ่านมา

โดยคาดการณ์ว่าในช่วงเวลานั้นแรงกดดันต่อค่าเงินบาทจะมีเพิ่มสูงขึ้นมากและอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้อีก และปรับการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.จากเดิมที่คาดว่าจะขึ้น 25% ในการประชุมรอบหน้า เป็นขึ้น 50% และคาดว่าจะขึ้นต่อเนื่องอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 25% ในปีนี้ซึ่งจะทำให้ในปลายปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% จากระดับปัจจุบันที่ 0.5%