แรงงานไทยต้องมี Meta Skill โควิดเร่งกระบวนการทำงาน-เปลี่ยนการจ้างงานในภาคธุรกิจไทย

593
0
Share:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธนาคารกสิกรไทย หรือ KResearch เปิดเผยว่า ก่อนเกิดสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ธุรกิจต่าง ๆ ได้เผชิญกับการเข้ามาของเทคโนโลยี (Technology Disruption) จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อตอบรับกับการเข้ามาของเทคโนโลยี (Digital Transformation) อยู่แล้ว การแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้ามาเป็นส่วนผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมในหลากหลายด้าน เช่น องค์กรเริ่มมีนโยบายการทำงานที่บ้าน (Work from home) หรือการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น

โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องเริ่มปรับตัวรวดเร็วขึ้น ที่ผ่านมาจะเห็นว่าภาคธุรกิจเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ระบบ Cloud โดยรายงานของ World Economic Forum ในปี 2563 ระบุว่ามีภาคธุรกิจถึง 84.4% ที่เร่งปรับกระบวนการทำงานในรูปแบบดิจิทัล (Accelerate the digitalization of work processes) ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนต่าง ๆ ของภาคธุรกิจจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน “แรงงาน” ด้วย

ก่อนการเกิดระบาดของโควิด-19 นั้น ตลาดแรงงานของไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่ต่อเนื่อง เช่นการเรียนจบไม่ตรงตามสายที่ต้องการของตลาดแรงงาน การระบาดของโควิด-19 ได้เข้ามาตอกย้ำให้ปัญหาดังกล่าวมีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 2/2564 จากข้อมูลสำรวจแรงงานพบว่า จำนวนผู้ว่างงานอยู่ที่ 7.3 แสนคน แม้ปรับลดลงจากไตรมาสแรกของปีแต่ยังคงอยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19

ทั้งนี้ แม้ในปีนี้จะไม่ได้มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเหมือนในปีก่อน แต่ “แรงงานในภาคบริการและการค้า” เผชิญกับภาวะการว่างงานฉับพลันจำนวนมาก ในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 2.78 แสนคน ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงล็อกดาวน์ในไตรมาส 2/2563 ที่ 2.77 แสนคน ขณะที่ “กลุ่มเด็กจบใหม่” ยังมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะการว่างงานที่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสที่ 2/2564 มีผู้ว่างงานที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีอยู่ที่ 2.32 แสนคนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2564 ที่ 2.11 แสนคน และผู้ว่างงานที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานอยู่ที่ 2.93 แสนคน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2564 ที่ 2.45 แสนคน ซึ่งกลุ่มนี้อาจกลายเป็นแรงงานที่ขาดทักษะและประสบการณ์ทำงานในอนาคต

แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแต่ผลกระทบในกลุ่มผู้ที่ขาดทักษะและประสบการณ์ทำงานจะยังเป็นบาดแผลสำคัญของตลาดแรงงานต่อไป เมื่อมองไปในระยะข้างหน้าสถานการณ์ทางด้านแรงงานยังมีความเปราะบางสูง แม้ว่าในเดือนก.ย.ที่ผ่านมาจะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มต่าง ๆ รวมถึงจะมีการเปิดประเทศในระยะที่สอง แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างจะยังเป็นประเด็นปัญหาที่ต้องจับตามองและควรได้รับการแก้ไขต่อไป

ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากมาตรการควบคุมการระบาด เช่น การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ การสั่งอาหารออนไลน์ เป็นต้น ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่าน platform ต่าง ๆ ผลสำรวจของกระทรวงพาณิชย์ (ม.ค.-มี.ค.64) ระบุว่า ผู้บริโภคในไทยซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 75,000 ล้านบาทต่อเดือนหรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 2.25 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 45.5% เมื่อเทียบกับผลการสำรวจเมื่อครั้งก่อน บ่งชี้ว่าการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กำลังมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่โรคระบาดยังมีความรุนแรง

นอกจากนี้ ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมก็เริ่มมีการปรับตัวเช่นเดียวกันไม่เว้นแม้แต่ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ที่มี “Telemedicine” โดยเป็นการให้บริการทางการแพทย์ผ่าน VDO Conference ซึ่งจะไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ ในภาคอุตสาหกรรมมีการนำ “หุ่นยนต์” หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ เข้ามามากขึ้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบธุรกิจต่าง ๆ ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้ทักษะความรู้ด้าน “ดิจิทัล” เข้ามามีความสำคัญมากขึ้น การปรับเปลี่ยนลักษณะของธุรกิจตามพฤติกรรมผู้บริโภคจะไม่ได้เกิดเฉพาะในช่วงที่โรคระบาดเท่านั้นแต่พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะกลายเป็น “ความปกติใหม่ (New normal) ที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญ ซึ่งอาจทำให้ความต้องการตำแหน่งงานเดิมที่เคยมีอยู่ลดลงหรือหายไป โดยเฉพาะแรงงานในภาคบริการหรือแรงงานขาดทักษะ เช่น แคชเชียร์ หรือพนักงานเสิร์ฟ เป็นต้น

ขณะเดียวกันอาจมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้นมาทดแทนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยในกระบวนการทำงานทำให้ความต้องการแรงงานใหม่ไม่พอดึงแรงงานว่างงานบวกกับคนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ดังนั้น มีแนวโน้มสูงที่แรงงานกว่า 7 แสนคนที่ตกเป็นผู้ว่างงานอาจไม่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานทั้งในตำแหน่งงานเดิมและตำแหน่งงานใหม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการในตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปจึงมีความสำคัญเพื่อการทำงานในอนาคต

ในอนาคตข้างหน้านั้น แรงงานที่ไม่มีทักษะจะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีได้ง่าย ดังนั้นแรงงานควรเตรียมความพร้อม Upskill และ Reskill เพื่อที่จะสามารถไปอยู่ในสายงานที่ยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตได้ โดยทักษะสำคัญที่ต้องมีคือ “ทักษะทางด้านดิจิทัล” เนื่องจากเทคโนโลยีจะเป็นส่วนที่สำคัญของธุรกิจ ในรายงานของ World Economic Forum (WEF) ในปี 2563 บ่งชี้ว่ามีเพียง 54.9% ของแรงงานไทยที่มีองค์ความรู้ด้านทักษะดิจิทัล (อันดับที่ 89 จาก 140 ประเทศทั่วโลก)

ดังนั้น เพื่อให้สามารถอยู่รอดในตลาดแรงงานได้จึงควรเร่งสร้างทักษะเหล่านี้ ทางภาครัฐควรเข้ามามีส่วนช่วยในการ Upskill/Reskill ให้กับแรงงานได้โดยปัจจุบันมีสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (DiSDA) ที่จะมีการจัดอบรมสัมมนาหลักสูตรต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคปัจจุบัน

ตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงไปตามโลกธุรกิจและพฤติกรรมของลูกค้า โดยปกติแรงงานจะต้องมีการพัฒนาทักษะของตนเองเพื่อให้สามารถอยู่รอดในตลาดแรงงานได้มาต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและเปลี่ยนแปลงเร็วรวมถึงมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดอีกทักษะที่สำคัญ นอกเหนือไปจาก “Soft Skill (ทักษะทางสังคม) / Hard Skill (ทักษะด้านความรู้) ” นั้นคือ “Meta Skill” ซึ่งเป็นทักษะใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ Meta Skill เป็นแนวคิดที่ว่าเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยต้องมีความสามารถมีทัศนคติที่ดีพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นอีกทักษะที่เพิ่มขึ้นมาในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สำหรับแรงงานที่มีทักษะและความสามารถหลากหลายได้ มีความพร้อมในการปรับตัว ไม่ว่าจะเผชิญกับวิกฤตใดก็จะยังสามารถกลับสู่ตลาดแรงงานได้เสมอ ดังนั้นการเรียนรู้เข้าใจตลาดแรงงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ