โจทย์ใหญ่! SCB EIC ชี้ราคาข้าวพุ่งเสี่ยงกระทบเงินเฟ้อ การบ้านที่รอท้าทายรัฐบาลใหม่

449
0
Share:
โจทย์ใหญ่! SCB EIC ชี้ ราคาข้าว พุ่งเสี่ยงกระทบเงินเฟ้อ การบ้านที่รอท้าทายรัฐบาลใหม่

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุ ราคาข้าวโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี ซึ่งราคาข้าวโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย และราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเป็นความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อของไทยในระยะต่อไป นับเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่รอท้าทายรัฐบาลชุดใหม่

โดยเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 66 ราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทย ซึ่งถูกใช้เป็นราคาข้าวอ้างอิงในตลาดโลก ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 50.3% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค. 65 มาอยู่ที่ 648 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 15 ปี โดยมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือนโยบายควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ตลาดข้าวโลกเผชิญภาวะขาดดุล กดดันให้สต็อกข้าวโลกปรับตัวลดลง และการกลับมาของปรากฎการณ์เอลนีโญ ที่อาจจะกระทบต่อผลผลิตข้าวของอินเดียและไทยในฤดูกาลผลิตหน้า

SCB EIC ประเมินแนวโน้มราคาข้าวโลกออกเป็น 2 กรณี ขึ้นกับความรุนแรงของเอลนีโญ และการดำเนินนโยบายส่งออกข้าวของอินเดีย คือ
1. กรณีฐาน (Base case) เกิดเอลนีโญระดับรุนแรง และอินเดียระงับการส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวไปจนถึงเดือน ต.ค. 67 แต่ยังคงอนุญาตให้มีการส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวแบบรัฐต่อรัฐได้บางส่วน มีการส่งออกข้าวนึ่งเพื่อทดแทนข้าวขาวที่ถูกระงับส่งออกและมีการเก็บภาษีส่งออกข้าวนึ่ง
2. กรณีรุนแรง (Severe case) เกิดเอลนีโญระดับรุนแรงมาก และระยะเวลาการระงับส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวของอินเดียเท่ากับกรณีฐาน แต่รัฐบาลอินเดียไม่อนุญาตให้มีการส่งออกข้าวขาวและปลายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ พร้อมทั้งมีการระงับการส่งออกข้าวนึ่งเพิ่มเติม

ราคาข้าวโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากไทยมีการส่งออกข้าวไปตลาดโลกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 38.6% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด โดยในช่วง ส.ค. – ธ.ค. 66 ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.6% ในกรณีฐาน และเพิ่มขึ้น 42.5% ในกรณีรุนแรง ส่วนในปี 2567 คาดว่าในกรณีฐาน ราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.9% ส่วนกรณีรุนแรงราคาจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.6% มาอยู่ที่ 14,663 บาทต่อตัน ซึ่งนับเป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ของไทย

ดังนั้น ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไป เพราะข้าวเปลือกเป็นต้นทุนหลักในการผลิตข้าวสาร ทำให้ในช่วงที่ราคาข้าวเปลือกเพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินเฟ้อไทยผ่านค่าใช้จ่ายผู้บริโภคเกี่ยวกับข้าว โดยในระยะต่อไป คาดว่าผู้ค้าข้าวสารในประเทศจะเริ่มส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้นสะสมของราคาข้าวเปลือกจะกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นสะสมของอัตราเงินเฟ้อหมวดที่เกี่ยวกับข้าว ส่งผลให้กำไรของผู้ประกอบการหดตัว หากไม่มีการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภค

ในการจัดเก็บข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) จากกระทรวงพาณิชย์ ข้าวจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และมีสัดส่วนน้ำหนักอยู่ในตะกร้าเงินเฟ้อที่ราว 3.2% จากสัดส่วนสินค้าทั้งหมด ซึ่งในกรณีฐาน SCB EIC ประเมินราคาข้าวที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปี (ส.ค. – ธ.ค. 66) 0.26% แต่ในกรณีรุนแรง เงินเฟ้อทั่วไปอาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 0.37%

SCB EIC ประเมินผลรวมจากราคาข้าวที่ปรับสูงขึ้น จะส่งผลต่อเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปี 0.45% และ 0.66% ในกรณีฐานและกรณีรุนแรง ตามลำดับ ในขณะที่ปี 2567 ราคาข้าวที่จะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเพิ่มขึ้น 0.38% ในกรณีฐาน และอาจสูงถึง 0.91% ในกรณีรุนแรง ซึ่งในภาพรวมราคาข้าวเปลือกที่จะทยอยปรับสูงขึ้นต่อเนื่องจากหลายปัจจัยดังที่กล่าวไป นับว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และในปี 2567 นับเป็นโจทย์ท้าทายหนึ่งในโจทย์แรกๆ ด้านค่าครองชีพที่เป็นการบ้านรอต้อนรับรัฐบาลชุดใหม่