โจ ไบเดนสั่งซื้อวัคซีนกันโควิด-19 เพิ่มอีก 200 ล้านโดส

733
0
Share:

ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโจ ไบเดน เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐได้ตัดสินใจสั่งซื้อวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 200 ล้านโดส แบ่งเป็นวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทค 100 ล้านโดส และวัคซีนโมเดอร์นา 100 ล้านโดส ทำให้สหรัฐสั่งซื้อวัคซีนดังกล่าวรวมสุทธิ 600 ล้านโดส ซึ่งจำนวนสั่งซื้อเพิ่มเติม 200 ล้านโดสจากทั้ง 2 บริษัทจะจัดส่งกระจายอย่างทั่วถึงภายในฤดูร้อนที่จะมาถึงนี้ ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐมั่นใจว่า จะสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ให้กับประชาชนชาวอเมริกันเกือบทั่วทั้งประเทศที่มีทั้งหมด 331 ล้านคน ให้ได้ภายในสิ้นสุดฤดูร้อนนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด หรือในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐวัย 78 ปี กล่าวว่า นี่คือสงครามแห่งความพยายาม
.
นางชารอน คาสทิลโล หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัทไฟเซอร์ กล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจที่จะจัดส่งปริมาณวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 เพิ่มเติมตามระยะเวลาที่ประธานาธิบดีสหรัฐระบุไว้ ขณะที่บริษัทโมเดอร์นาปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
.
สำหรับแผนการแก้ไขปัญหาการจัดส่งและกระจายวัคซีนในแต่ละรัฐ พบว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอาจจะเพิ่มจำนวนวัคซีนส่งไปในแต่ละรัฐให้ได้เป็นสัปดาห์ละ 10 ล้านโดสในช่วง 3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 16% จากปัจจุบันที่เฉลี่ยสัปดาห์ละ 8.7 ล้านโดส
.
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดแห่งชาติสหรัฐ หรือ CDC เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นวันแรกที่เริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐกับกลุ่มบุคลากรการแพทย์ และเริ่มฉีดในกลุ่มผู้สูงอายุตามลำดับมาถึงวันที่ 26 มกราคม 2564 (ตามเวลาในสหรัฐ) มีการจัดส่งวัคซีนในสหรัฐรวมทั้งสิ้นกว่า 44 ล้านโดส และฉีดวัคซีน 24,483,319 โดส ส่งผลให้มีการใช้วัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ไปแล้ว 55.2% จากจำนวนจัดส่งในสหรัฐ นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนในสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 1.27 ล้านโดส และมีอัตราส่วนการฉีดวัคซีนคิดประมาณ 7.45 ต่อ 100 คนในสหรัฐ
.
ทั้งนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดแห่งชาติสหรัฐ หรือ CDC เปิดเผยว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาถึงวันที่ 27 มกราคม 2564 เพิ่มขึ้น 146,831 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมขึ้นเป็น 26,009,788 ราย อยู่อันดับที่ 1 ของโลก ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3,999 ราย ส่งตัวเลขสะสมเป็น 435,406 ราย