โพลชี้ภาคธุรกิจมองเศรษฐกิจไทยปีนี้โตเกิน 3% อานิสงส์ท่องเที่ยว เลือกตั้งดุเดือด

271
0
Share:
โพลชี้ ภาคธุรกิจ มอง เศรษฐกิจ ไทยปีนี้โตเกิน 3% อานิสงส์ท่องเที่ยว เลือกตั้งดุเดือด

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า “ผลกระทบของภาคธุรกิจต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน” พบว่า สถานะทางธุรกิจขณะนี้ ยังคงทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เชื่อในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น และกลับมาเป็นปกติในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงไตรมาสที่ 4 เนื่องจากสถานการณ์โควิดคลี่คลายมากขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมทางธุรกิจ และเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน และการเลือกตั้งทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น แต่มีความกังวลต่อแรวนโยบายที่จะมีผลต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจ และนโยบายที่อาจจะไม่ต่อเนื่อง รวมถึงอาจจะเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

นอกจากนี้ภาคธุรกิจยังคงเจอผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อ ที่มีผลต่อต้นทุน ค่าแรงขั้นต่ำ รวมทั้งการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า แม้ปัจจุบันจะชะลอลงอยู่ที่ 5.33 บาทต่อหน่วย แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุน โดยมองว่าค่าไฟฟ้า ควรอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย และยังมีผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งหากปรับตัวสูงขึ้นอีกจะไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้ และจำเป็นจะต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ซึ่งภาครัฐควรดูแลราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร

ดังนั้นจึงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 อยู่ในกรอบ 3.35–3.82% หรือเฉลี่ย 3.42% พร้อมขอให้ภาครัฐออกมาตรการบรรเทาผลกระทบ โดยเฉพาะการดูแลต้นทุนของภาคเอกชนให้เหมาะสม และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีรัฐบาลรักษาการ และยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และในประเทศให้เหมาะสม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน

โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งปีหลัง และเด่นชัดในไตรมาสที่ 4 หากการเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนด รัฐบาลมีเสถียรภาพ และมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี โดยการแข่งขันที่รุนแรงของการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะส่งผลให้การรณรงค์หาเสียงเข้มข้น มีวงเงินสะพัดในช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคมประมาณ 1–1 แสน 2 หมื่นล้านบาท ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 โตได้ 3–4% ก่อนจะได้รัฐบาลใหม่ในช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งผลทำให้เศรษฐกิจในภาพรวม ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.5–0.7% ส่วนความกังวลในช่วงสูญญากาศทางการเมือง ในช่วงไตรมาสที่ 3 หลังจากการยุบสภานั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาล จะจัดตั้งเมื่อไหร่ เพราะหากทันในช่วงเดือนสิงหาคม จะมีงบผูกพันในปีงบประมาณ 2567 ที่จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาฯ ให้เกิดความต่อเนื่อง รวมทั้งหากการเมืองไม่มีความขัดแย้ง เศรษฐกิจไทย ยังสามารถขยายตัวได้ 3–4%