‘โมเดอร์นา’ เผยเข็มกระตุ้นสูตรผสม ต้านโอไมครอนได้สูงกว่าสูตรมาตรฐานถึง 2.20 เท่า

549
0
Share:
โมเดอร์นา

บริษัท โมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยว่าผลการวิจัยทางคลินิกเบื้องต้นของวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273.211 ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรผสมชนิดแรกที่ทางบริษัทได้พัฒนาขึ้น และกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางคลินิกในอาสาสมัคร ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรผสมของสายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์เบตา ในปริมาณที่เท่ากันอย่างละครึ่ง

โดยเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรมาตรฐาน mRNA-1273 รุ่นปัจจุบัน ขนาด 50 ไมโครกรัม พบว่า วัคซีน mRNA-1273.211 ในขนาด 50 ไมโครกรัม นั้นสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอไมครอน และเดลตา , เบตา ได้ในระดับที่สูงกว่า และระดับภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าดังกล่าว ก็ยังมีการตรวจวัดได้ที่เวลา 6 เดือนหลังจากฉีด

ในส่วนของภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโอไมครอน ของวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรผสม mRNA-1273.211 รุ่นใหม่นี้ เมื่อวัดหลังฉีดไปแล้ว 1 เดือน พบว่า มีระดับที่สูงกว่าการกระตุ้นด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรมาตรฐานรุ่นปัจจุบันที่ประมาณ 2.20 เท่า (1408 เทียบกับ 629) และเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน พบว่าภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโอไมครอนก็ยังคงระดับที่สูงกว่าที่ 2.15 เท่า (317 เทียบกับ 146)

ด้านความปลอดภัยของวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตร mRNA-1273-211 ขนาด 50 ไมโครกรัม พบว่า โดยทั่วไปอาสาสมัครมีการยอมรับวัคซีนได้ดี อาการไม่พึงประสงค์ที่พบมีความคล้ายคลึงกับที่มีการรายงานจากวัคซีนสูตรมาตรฐานขนาด 50 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ใช้ฉีดอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยอาการส่วนใหญ่อยู่ในระดับเล็กน้อย-ปานกลาง

นายสเตฟาน บัลเซล Chief Executive Officer บริษัทโมเดอร์นา อิงค์ กล่าวว่าอยู่ในระหว่างการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2/3 ของวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่อีกหนึ่งสูตรคือ mRNA-1273.214 ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรผสมระหว่างสายพันธุ์ดั้งเดิม และสายพันธุ์โอไมครอน โดยคาดว่าผลการทดสอบเบื้องต้น จะออกมาภายในไตรมาส 2/65 โดยทั้งวัคซีน mRNA-1273.211 และ mRNA-1273.214 นั้นถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นตัวเลือกของการใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่ ที่จะผลิตออกมาในช่วงปลายปีนี้

“เราเชื่อมั่นว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นสูตรผสมที่ประกอบไปด้วยสองสายพันธุ์ จะเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่จะสามารถใช้รับมือกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ส่วนวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นปัจจุบัน เมื่อใช้ฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 หรือ 4 จากข้อมูลจากการใช้งานจริงในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แสดงให้เห็นว่ายังคงสามารถป้องกันการติดเชื้อแบบรุนแรง และการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ดี” นายสเตฟาน ระบุ