ไทยส่งออก ม.ค. โตกว่า 8% กว่า 700,000 ล้านบาท เฝ้าระวังเดือนต่อไป

426
0
Share:
ไทย ส่งออก ม.ค. โตกว่า 8% กว่า 700,000 ล้านบาท เฝ้าระวังเดือนต่อไป

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตัวเลขการส่งออกเดือน ม.ค. 65 มีมูลค่า 21,258.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 708,312 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังขยายตัวได้ดี เมื่อเทียบกับ ม.ค. 64 ที่ขยายตัวแค่ 0.1%

โดยมีปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกเดือน ม.ค. 65 เป็นบวกถึง 8% เพราะมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชน ที่เดินหน้าต่อไปอย่างเข้มข้น ภาคการผลิตทั่วโลกยังขยายตัว ดูได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing : PMI) ที่ยืนเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 สะท้อนว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ และยังได้รับผลดีจากสหรัฐฯ ที่ขยายเวลาทำการในวันหยุด และเพิ่มการทำงานในช่วงกลางคืน ทำให้คล่องตัวขึ้นและตู้คงค้างลดลง

ทั้งนี้ ตลาดที่ขยายตัวสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.อินเดีย เพิ่ม 31.9% 2.รัสเซีย เพิ่ม 31.9% 3.สหราชอาณาจักร เพิ่ม 29.7% 4.เกาหลีใต้ เพิ่ม 26.8% 5.สหรัฐฯ เพิ่ม 24.1% 6.แคนาดา เพิ่ม 13.6% 7.อาเซียน 5 ประเทศ เพิ่ม 13.2% 8.จีน เพิ่ม 6.8% 9.ลาตินอเมริกา เพิ่ม 5.0% 10.สหภาพยุโรป เพิ่ม 1.4%

ขณที่ยอดการนำเข้ามีมูลค่า 23,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเข้าวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต และการนำเข้าน้ำมันที่ราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยขาดดุลการค้าในเดือน ม.ค. 65 คิดเป็นมูลค่า 2,526.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ประชุมร่วมกับภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สมาพันธ์ SMEs และสมาคมอื่นที่เกี่ยวข้อง เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยได้ประเมินร่วมกันว่ายังไม่มีผลกระทบทางตรง หรือถ้าจะมีก็ยังไม่มาก เพราะรัสเซียเป็นตลาดส่งออกของไทยสัดส่วน 0.38% และยูเครนสัดส่วน 0.04% ยังเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก

แต่เมื่อเจาะเป็นรายสินค้า มีผลกระทบต่อยางรถยนตร์ อาหารแปรรูป อัญมณี และเครื่องสำอาง ที่ส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครน และประเมินอนาคตว่า อาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ตอนนี้ยังไม่มี และจะมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าทางเรือ หากน้ำมันสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีการปิดท่าเรือบางแห่งในรัสเซียหรือยูเครน การส่งสินค้าของไทยอาจต้องเปลี่ยนท่าเรือ จะมีผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งได้

นอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อม อาจมีเรื่องราคาพลังงาน ราคาเหล็กนำเข้าที่นำมาผลิตสินค้าต่อเนื่อง เช่น กระป๋อง หรือก่อสร้าง ที่จะได้รับผลกระทบ รวมถึงธัญพืชนำเข้าเพื่อทำอาหารสัตว์ เช่น ข้าวสาลีและข้าวโพด เพราะเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะยูเครน ดังนั้น เพื่อเป็นการรับมือ กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการต่างๆ รองรับร่วมกัน หากเกิดปัญหา โดยจะบุกตลาดทดแทน เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา เตรียมบุกตลาดทดแทนสินค้าของรัสเซียหรือยูเครนที่ไม่สามารถส่งออกไปตลาดสำคัญในโลกได้ จะถือเป็นโอกาสเข้าไปทดแทนตลาดรัสเซียกับยูเครน เช่น มันสำปะหลัง อาจส่งไปจีน แทนข้าวโพดของยูเครน หรือผลิตภัณฑ์ยางในสหรัฐฯ อาหารสำเร็จรูปส่งออกไปทดแทนสินค้าจากรัสเซียยูเครนต่อไป