ไปกันใหญ่! คาดดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐไปไกลเกิน 5% ในปีหน้า

189
0
Share:
ไปกันใหญ่! คาด ดอกเบี้ย ระยะสั้น สหรัฐ ไปไกลเกิน 5% ในปีหน้า

เทรดเดอร์ หรือนักลงทุนจำนวนมากในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด อาจปรับขึ้นไปเรื่อยๆ จนอยู่เหนือระดับ 5% ภายในเดือนมีนาคม 2566 และหลังจากนั้นเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวที่เหนือกว่า 5% ไปตลอดทั้งปี 2566 เพื่อกดดันอัตราเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่เป้าหมายเดิม

สาเหตุจากนักลงทุนล้วนกลับมาให้น้ำหนักและปรับมุมมองใหม่ต่อการส่งสัญญาณของประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในคืนที่ผ่านมา หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ กล่าวอย่างชัดเจนว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดถึงการชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น และอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวดูเหมือนว่าจะสูงขึ้นมากกว่าที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การประชุมตัดสินใจเกี่ยวกับดอกเบี้ยระยะสั้นยังคงมีเส้นทางที่ต้องดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ข้อมูลที่กำลังมาเรื่อยๆนั้น นับตั้งแต่การประชุมครั้งสุดท้ายก่อนจะถึงคืนผ่านมา ได้บอกให้รู้ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสุดท้ายจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

นักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นใหม่ โดยยังคงมองว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวที่ 0.5% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ แต่หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่การประชุมครั้งแรกในปี 2566 ที่เริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ เฟดจะปรับดอกเบี้ยขึ้น 0.5% แทนที่จะปรับขึ้นเพียง 25% จากนั้นจะปรับขึ้นอย่างน้อยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนมีนาคม นั่นหมายถึง ดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดจะขึ้นไปอยู่ระหว่าง 5.00-5.25%

ก่อนหน้านี้ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาใหม่ โดยคาดว่าจะปรับสูงขึ้นถึงระดับ 5% ซึ่งสูงขึ้นจากเดิมที่เคยประเมินไว้

แจน แฮทเซียส นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า ภายในเดือนมีนาคมปี 2023 ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นมาอยู่ระหว่าง 4.75% ถึง 5.00% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่สูงกว่าการคาดการณ์เดิมอีก 0.25%

สาเหตุที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 5% ในสิ้นไตรมาส 1 ปี 2023 มาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ระดับเงินเฟ้อสูงต่อเนื่อง ความจำเป็นในการชะลอตัวเศรษฐกิจหลังจากนโยบายการคลังของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง และแนวโน้มรายได้ของแรงงานเมื่อคิดรวมอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง