ไม่ควรแพง !กรมการค้าภายใน แตะเบรกผู้ค้าปลีกขึ้นราคาน้ำตาล ชี้ไม่ควรผลักภาระให้ผู้บริโภค

403
0
Share:

นายวัฒนศักดิ์ เสือเอื่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรณีที่มีกระแสข่าวการปรับขึ้น ราคาน้ำตาล ทรายกิโลกรัมละ 4 บาทนั้น  การปรับราคาน้ำตาลทรายอยู่ในอำนาจ และหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้ขัดข้องหากจะทำให้ชาวไร่ได้ประโยชน์สูงขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงเรื่องของต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมการต่างๆ ด้วย รวมไปถึงผู้บริโภคที่ต้องรับภาระจึงขอให้พิจารณากำหนดราคาหน้าโรงงานด้วยความรอบคอบ

ด้าน ร..จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน   กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย ไม่ควรจะใช้เหตุผลราคาน้ำตาลทรายตลาดโลก ที่ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 26.50 บาท เพราะไทยเป็นประเทศผู้ผลิต และส่งออกน้ำตาลทรายรายใหญ่ แต่ละปีมีผลผลิตประมาณ 10 ล้านตัน บริโภคในประเทศทั้งใช้ในอุตสาหกรรม และครัวเรือน 2.5 ล้านตัน เหลือส่งออก 7.5 ล้านตัน จึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้บริโภค และผลกระทบเกี่ยวเนื่องจากการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทราย หากจะปรับขึ้นราคา

ส่วนการปรับราคา 4 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ 2 บาทต่อกิโลกรัม เข้าอุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทราย โดยแบ่งให้ชาวไร่ และโรงงาน และอีก 2 บาทต่อกิโลกรัมนำส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมและฝุ่น PM 2.5 ส่วนนี้เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค อยากให้ใช้วิธีการเสนอต่อรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ จะเหมาะสมกว่าที่จะผลักภาระให้ประชาชนต้องบริโภคน้ำตาลทรายในราคาสูงขึ้น

ทั้งนี้หากในอนาคต สอน. มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานจริง จะกระทบต่อราคาสินค้าที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบ เช่น ขนม เครื่องดื่ม หรือไม่ จะต้องพิจารณาตามโครงสร้างต้นทุนสินค้าแต่ละรายการซึ่งมีสัดส่วนต้นทุนน้ำตาลทรายที่แตกต่างกัน รวมทั้งพิจารณาต้นทุนวัตถุดิบส่วนอื่นด้วยว่ามีการปรับลดลงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม กรมฯได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจราคาจำหน่ายปลีกน้ำตาลทรายในห้างค้าปลีกค้าส่ง ล่าสุด พบว่า ราคาเฉลี่ย 24 – 25 บาท /กิโลกรัม ยังไม่มีการปรับขึ้นราคา  และยังไม่มีการกักตุน  แต่เพื่อดูแลราคาจำหน่ายให้เกิดความเป็นธรรม กรมฯได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสุ่มตรวจราคาน้ำตาลทรายตามร้านค้าทั่วไปแล้ว ส่วนร้านค้าทั่วไป ราคาอาจจะสูงกว่านี้เล็กน้อย แล้วแต่ช่วงการค้า ที่อาจจะรับมาหลายต่อ หรือขึ้นอยู่กับการขนส่งใกล้ไกล หากพบเห็นการฉวยโอกาส ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ