ไม่ต้องกังวล! แบงก์ชาติ ชี้ไทยยังไม่เข้าภาวะเงินฝืด  แม้เงินเฟ้อติดลบ เพราะการใช้จ่ายเอกชนยังดี

160
0
Share:

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ  กล่าวในงาน Monetary Policy Forum 4/2023 ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในกรอบเป้าหมาย คาดการณ์ปี 2566 ทั้งอัตราเงินเฟ้อ ทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 1.3% โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำและติดลบในช่วงที่เหลือของปีนี้จากผลของมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ เช่น 1.มาตรการลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันดีเซล 2.ราคาอาหารสดที่ลดลง และ 3.ผลของฐานสูงจากราคาผักที่ได้รับผลกระทบจาก น้ำท่วมในปี 2565

โดย อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 และ 2568 จะปรับสูงขึ้น โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ ส่วนหนึ่งจากราคาอาหารที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนิญขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวอยู่ที่ 1.2% และ 1.3% ตามลำดับ สอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศที่ทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้ หากรวมผลของโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2567 จะอยู่ที่ 2.2% และ 1.5% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ต้องติดตามความเสี่ยงจากต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้นกว่าคาด และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานโลกปรับสูงขึ้น

การที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเงินฝืด เนื่องจากอุปสงค์ยังเติบโตได้ดี เห็นได้จากการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3/2566 ที่ขยายตัวได้ 8% จำนวนการจ้างงานมีสูงถึง 40 ล้านคน ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียง 1% ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ สะท้อนภาพเศรษฐกิจว่าไม่ได้อยู่ในภาวะเงินฝืดแต่อย่างใดนายสุรัชกล่าว

นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดว่าปี 2566 จะขยายตัวที่ 2.4% โดยมีแรงส่งสำคัญจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้ขยายตัวดีโดยเฉพาะในหมวดบริการ ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้าและภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องฟื้นตัวช้า การฟื้นตัวจึงยังไม่ครอบคลุมในทุกภาคเศรษฐกิจ ส่วนปี 2567 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวสมดุลมากขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.2% หากรวมผลของโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล อัตราการขยายตัวในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.8% เทียบกับ 4.4% ที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน ขณะที่ปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 3.1%

ในกรณีที่ไม่รวมผลของโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1.ภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2567 จะอยู่ที่ 34.5 และปี 2568 ที่ 39 ล้านคน และ 2568 ตามลำดับ 2.การบริโภคภาคเอกชนที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานและรายได้แรงงานที่ปรับดีขึ้น และ 3.ภาคการส่งออกสินค้าในปี 2567 ธปท.ประเมินว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ 4.3% และปี 2568 ขยายตัวที่ 3.3% และภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องที่จะกลับมาขยายตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของอุปสงค์สินค้าโลก พร้อมกับการกลับมาของวัฏจักร อิเล็กทรอนิกส์โลก

อย่างไรก็ดี ต้องติดตามความเสี่ยงที่การส่งออกอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกไทยที่ลดลงนางปราณี กล่าว