ไม่มีโกง! นายกรัฐมนตรีลั่นไม่มีทุจริตเชิงนโยบายเด็ดขาด ไม่ยอมให้มรดกบาปตกถึงลูกหลาน

361
0
Share:
ไม่มีโกง! นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ ลั่นไม่มี ทุจริต เชิงนโยบายเด็ดขาด ไม่ยอมให้มรดกบาปตกถึงลูกหลาน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกรทะรวงกลาโหม เป็นประธานการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ที่สำนักงานป.ป.ช. จ.นนทบุรี โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เพื่อให้ประชาคมโลกตระหนักถึงภัยร้ายแรงจากการทุจริต

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทุจริตจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าทุกคนมีจิตใจคุณธรรม ไม่เห็นประโยชน์จากการทุจริต ที่สำคัญเมื่อเป็นใหญ่เป็นโต ต้องมีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ตามวัยวุฒิ คุณวุฒิที่เติบโต ถ้าประชาชน สังคมช่วยกันเฝ้าระวัง ช่วยกันแจ้งร้องทุกข์กล่าวโทษ สิ่งเหล่านี้จะหายไป สิ่งที่จะทำให้ได้ผลสำเร็จ100% อยู่ที่ใจ การดำเนินการไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง ถ้าทุกคนไม่ร่วมใจกัน ทำให้วันนี้ต้องมาประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน เพื่อให้ดีขึ้นอย่างเร็วที่สุด เพราะเป็นปัญหาที่บ่อนทำลายการเจริญเติบโตของประเทศ ขอให้ช่วยกันทำให้สังคมเป็นระบบสีขาว ปลอดจากการทุจริต เพื่อความเจริญเติบโตของบ้านเมือง มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนตลอดไป

“ผมไม่ต้องการทุจริตอะไรทั้งสิ้น ผมถูกสอนมาว่าไม่ให้ทุจริต ไม่งั้นจะเอาหน้าไปเสนอให้คนมองไม่ได้ วันนี้ดีใจที่ได้พบกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ขอให้ช่วยกันทำ และในฐานะที่รับผิดชอบนโยบาย ขอยืนยันไม่ให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายโดยเด็ดขาด แต่ถ้ามีอะไรบกพร่องก็ต้องถูกลงโทษ และลงโทษด้วยความเป็นธรรม ไม่มีอะไรสำเร็จได้ ถ้าไม่ร่วมมือร่วมใจกัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ทุกคนทราบดีว่าปัญหาคอร์รัปชันส่งผลเสียหายต่อประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ หรือ TI (ที-ไอ) สะท้อนว่าปัญหาการทุจริตที่เป็นจุดอ่อนของประเทศไทยที่สำคัญ คือ ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับสินบน การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน การไม่สามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนรวมกับประโยชน์ส่วนตน และความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ การทุจริตจึงเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ทั้งในการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญคือการทำลายภาพลักษณ์ ทำลายความเชื่อมมั่นในสายตาประชาชนชาวไทยและชาวโลก ซึ่งเราต้องไม่ยอมให้การทุจริตเป็นมรดกบาป ตกทอดสู่รุ่นลูก รุ่นหลานอีกต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและผลักดันให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ สร้างกลไกการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้บรรจุแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ ลงไปถึงการจัดทำแผนระดับรอง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง ส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรมเป็นภาพรวมของประเทศแล้ว เช่น 1. พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน 2. นโยบาย National e-Payment เป็นต้น ที่ช่วยขจัดโอกาสการทุจริต หักหัวคิว เรียกรับสินบน เพิ่มความโปร่งใสในการกระบวนการทำงานของภาครัฐ เพื่อให้ติดตามตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

ช่วงวิกฤติโควิดและวิกฤติพลังงานที่ผ่านมา ปัญหาคู่ขนาน คือปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ผลักดันโครงการช่วยเหลือต่าง ๆ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง โดยนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ ช่วยให้ทุกขั้นตอนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และนานาชาติให้การยอมรับถึงความสำเร็จนี้ รัฐบาลได้เพิ่มช่องการรับเรื่องราวร้องเรียน และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส ตรวจสอบการทุจริตในทุกระดับด้วย ซึ่งผมให้ความสำคัญที่สุดคือการติดตามนำผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รับโทษตามกฎหมาย โดยไม่มีข้อยกเว้นว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้มีอิทธิพลในสังคม ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วขึ้น เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ลดละ เพื่อขจัดการทุจริตให้หมดสิ้นไป โดยพร้อมจะทำงานกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เปิดกว้างรับฟัง เสริมสร้างความเข้มแข็ง และคงความเป็นอิสระของหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อให้โครงการพัฒนาประเทศ การค้า การลงทุน การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมสามารถดำเนินไปได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ยอมให้พลังความดี ความถูกต้อง พ่ายแพ้ต่อ อำนาจฝ่ายต่ำ