SCB EIC คาดธุรกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงปิดกิจการอีกมาก

972
0
Share:

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสถานะนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในช่วง 9 สัปดาห์แรกของปี 2563 พบว่าข้อมูลดังกล่าวถือเป็นอีกเครื่องชี้หนึ่งที่สะท้อนถึงภาวะความซบเซาของธุรกิจภาคเอกชน
.
จากข้อมูลพบว่าจำนวนธุรกิจที่แจ้งเลิกกิจการเพิ่มสูงขึ้นจาก 4 พันรายในช่วง 9 สัปดาห์แรกของปี 2562 มาเป็น 4.9 พันรายในช่วงเดียวกันปี 2563 คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 22.3%
.
นอกจากนี้จำนวนบริษัทที่มีปัญหาทางการเงิน ได้แก่ กิจการที่มีสถานะถูกพิทักษ์ทรัพย์และล้มละลายก็เพิ่มขึ้นเช่นกันจาก 138 เป็น 202 ราย คิดเป็นการเพิ่มขึ้นสูงถึง 46.4%
.
ขณะเดียวกันยอดการจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่กลับลดลงจาก 1.5 หมื่นเหลือ 1.4 หมื่นราย หรือคิดเป็นการลดลง -5.3% การออกจากธุรกิจที่มากขึ้น และการจัดตั้งกิจการที่ลดลง เป็นอีกภาพสะท้อนของสภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบในหลายด้านซึ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของหลายกิจการ รวมถึงความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของภาคเอกชน
.

โดยปัจจัยลบมาจาก สงครามการค้า ความซบเซาของกำลังซื้อในประเทศ ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (tech disruption) ได้ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในภาคการส่งออกสินค้าและภาคบริการทรุดตัวลงจึงกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากเป็นพิเศษ ข้อมูลสถานะกิจการที่ธุรกิจรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในช่วง 9 สัปดาห์แรกของปีได้สะท้อนภาพที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

.
โดยในระยะต่อไปภาวะการเข้า-ออกธุรกิจของไทยยังมีความเสี่ยง เพราะยังมีแนวโน้มที่จะมีการปิดกิจการอีกมากจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจยืดเยื้อโดยเฉพาะกลุ่มที่มีสภาพคล่องทางการเงินไม่เพียงพอ หรือมีภาระหนี้สูง
.
นอกจากนี้ความเชื่อมั่นที่ลดต่ำลงจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็จะทำให้การเริ่มธุรกิจใหม่ถูกชะลอออกไปอีกด้วย ทั้งนี้ยังอาจมีสาเหตุอื่นในเชิงโครงสร้างที่ทำให้กิจการไทยมีจำนวนน้อยลงในระยะยาว เช่น การกระจุกตัวของยอดขายในธุรกิจขนาดใหญ่น้อยราย ที่มักส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของธุรกิจหน้าใหม่ลดน้อยลง หรือแนวโน้มการลดลงของการเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มคนอายุน้อย ซึ่งการลดลงของธุรกิจหน้าใหม่นี้ มีแนวโน้มส่งผลให้การเติบโตของระดับผลิตภาพและการขยายตัวของการลงทุนของภาคธุรกิจลดต่ำลงในระยะยาว
.