คณะกรรมาธิการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีน และกระทรวงการคลัง จีน ร่วมกันแถลงมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในประเทศจีน โดยเฉพาะการกระตุ้นกำลังการใช้จ่ายการค้าปลีกในจีน ด้วยการจัดงบประมาณ 300,000 ล้านหยวน หรือ 41,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.54 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย มาตรการเงินอุดหนุนราคาซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ หรือเอ็นอีวี ซึ่งได้แก่ รถอีวี รถไฮบริด และรถพลักอิน-ไฮบริด โดยประชาชนชาวจีนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นจากคันละ 10,000 หยวน หรือคันละ 50,000 บาท เป็น 20,000 หยวน หรือคันละ 100,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากมาตรการเงินอุดหนุนในปัจจุบันที่ประกาศใช้มาเมื่อเดือนเมษายนผ่านมา เมื่อนำรถยนต์คันเดิมที่ใช้งานอยู่มาแลกเปลี่ยน และซื้อรถคันใหม่
นอกจากนี้ สำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ได้แก่ เครื่องเบนซิน เมื่อนำรถยนต์คันเดิมที่ใช้งานอยู่มาแลกเปลี่ยน และซื้อรถคันใหม่ จะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มขึ้นจากคันละ 7,000 หยวน หรือคันละ 35,000 บาท เป็น 15,000 หยวน หรือคันละ 75,000 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากมาตรการเงินอุดหนุนในปัจจุบัน
สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน ซึ่งรวมถึงภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ในจีน คิดเป็นเกือบ 10% ของมูลค่าขนาดเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ตาม ตลาดรถยนต์ภายในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น มียอดขายรถยนต์ในเดือนมิถุนายนลดต่ำลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส กระทรวงอุตสาหกรรม จีน กล่าวว่า การบริโภคภายในประเทศจีนไม่แข็งแกร่งมากพอ ท่ามกลางการแข่งขันในภาคธุรกิจเอกชน หรือตลาดการบริโภคมีความเข้มข้นตลอดเวลา มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ หรือการใช้จ่ายในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ประเทศจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลากหลายประเทศที่มีมากขึ้นตลอดเวลาเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ล้นเกินความต้องการบริโภคในประเทศโดยเฉพาะรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่ประเภทอื่นๆ ทำให้ต้องส่งออกรถอีวีไปต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มาตรการดังกล่าวคาดว่าอาจจะช่วยลดทอนแรงกดดัน หรือความไม่พอใจจากนานาชาติ
ทั้งนี้ ผู้บริโภคชาวจีนจะได้รับเงินอุดหนุนจำนวน 2,000 หยวน หรือ 10,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าใน 8 รายการ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทีวี แอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังอุดหนุนค่าใช้จ่ายให้กับผู้ผลิตในภาคการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้า การขนส่ง เป็นต้น