นายทัฬห์ สิริโภคี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าธุรกิจรายปลีก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ซึ่งเดินหน้าสร้างการตระหนักรู้และเสริมองค์ความรู้ให้ลูกค้าและผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางความต้องการของตลาดโลก ล่าสุด ได้จัดสัมมนาพัฒนาเกษตรไทยมุ่งสู่สากล Global Supply Chain ครั้งที่ 2/2567 หัวข้อ “Sustainability Era : การปรับตัวของภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน” โดยมุ่งส่งเสริมให้ธุรกิจเร่งปรับตัวอย่างจริงจัง เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับธุรกิจด้านการส่งออก โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ที่มีกฎหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เช่น มาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) และกฎระเบียบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ปลอดจากการทำลายป่า หรือ EU Deforestation Regulation (EUDR) โดยเริ่มต้นในภาคเกษตร 7 กลุ่ม ได้แก่ ไม้ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง และวัว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 30 ธันวาคม 2567
ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง หลายประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและออกกฎระเบียบข้อบังคับใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เป็นประเด็นที่ผู้ส่งออกต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เป็นทั้งการสร้างโอกาสทางการค้าหากปรับตัวได้ทัน และในทางตรงกันข้ามก็อาจกลายเป็นข้อจำกัดของธุรกิจได้หากไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ ธนาคารกรุงเทพจึงสนับสนุนให้ผู้ส่งออกมีความรู้เท่าทันสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ขณะเดียวกันธนาคาร ยังพร้อมสนับสนุนด้วยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ อาทิ สินเชื่อ Bualuang Green สินเชื่อ Bualuang Green Solar Energy และ สินเชื่อ Bualuang Transformation Loan (สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ) เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนเพียงพอสำหรับปรับปรุงธุรกิจให้พร้อมรับมือกับความท้าทายจากเทรนต่างๆของโลกได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ อรรถวานิช รองผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกจะทำให้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญา ที่รุนแรงมากขึ้น โดยไทยจะเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งมากขึ้น ฤดูฝนก็จะเผชิญปริมาณฝนที่ผันผวนมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2643 (ค.ศ. 2100) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย และทำให้รายได้ต่อหัวของประชากรไทยลดลงมากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านหลังแต่ละประเทศเริ่มใช้มาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการ CBAM และ มาตรการ EUDR ที่จะเป็นข้อจำกัดสำคัญทำให้ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าไปตลาดยุโรปได้
ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูล พบว่าภาคเกษตรไทยยังมีความเปราะบาง คือ เผชิญกับสังคมสูงวัยในอัตราเร่งและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ เช่นเดียวกับวัยหนุ่มสาวที่ออกจากภาคเกษตรในอัตราเร่งเช่นกัน ภาคเกษตรมีการศึกษาในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มนอกภาคเกษตร และยังพบว่า 80% ของภาคเกษตรถือครองที่ดินต่ำกว่า 20 ไร่ และมีเพียง 26% ของภาคเกษตรที่เข้าถึงระบบชลประทาน โดยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะทำให้เกษตรนอกชลประทานได้รับความเสียหายสูงกว่าในเขตชลประทาน และคาดการณ์ว่าความเสียหายสะสมในช่วงปี ค.ศ. 2011-2045 จะมีมูลค่าประมาณ 0.609-2.850 ล้านล้านบาท ส่งผลต่อช่องว่างความเหลี่ยมล้ำให้เพิ่มมากขึ้น
นายเฉลิม โกกนุทาภรณ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคเกษตรจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นและได้มาตรฐานตามที่ตลาดกำหนด ขณะที่ภาครัฐจำเป็นต้องเข้าไปสนับสนุนหรือสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะข้อมูลที่ต้องเป็นปัจจุบันและทุกคนสามารถเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งควรปรับปรุงเกณฑ์หรือคำนิยามของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใหม่ เพื่อให้สามารถรับสิทธิประโยชน์หรือการสนับสนุนจากภาครัฐให้สามารถขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคเอกชนรายใหญ่สามารถร่วมส่งเสริมผู้ประกอบการรายเล็กของไทย ผ่านการให้องค์ความรู้ เช่นเดียวกับธนาคารกรุงเทพ ที่มีการจัดสัมมนาและมีการเชิญวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาร่วมอัปเดตและประเมินสถานการณ์รวมถึงแชร์ประสบการณ์ให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้เข้าใจและสามารถนำไปใช้ปรับตัวได้