“กระทรวงแรงงาน” โยนหินถามทาง ซาวเสียงปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคม ม.33 แบบขั้นบันไดสูงสุด 1,150 บาท
“กระทรวงแรงงาน” โยนหินถามทาง ซาวเสียงปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคม ม.33 แบบขั้นบันไดสูงสุด 1,150 บาท ทำมนุษย์เงินเดือนกุมขมับ ต้องถูกรีดเงินเข้ากองทุนชดเชยสภาพคล่องหรือเปล่า?
ในยุคที่ค่าครองชีพสูง ข้าวของอะไรก็ขึ้นราคา บางอย่างขึ้นชนิดติดลมบน ยิ่งใครมีภาระที่ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถก็คงจะคิดหนักพอดู ถ้าหากกระทรวงแรงงานจะปรับเพดานอัตราส่งเงินสมทบ ในกลุ่มลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันตนตามมาตรา 33 เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม และยังเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดอีกต่างหาก เพราะล่าสุด สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้เปิดให้นายจ้าง ผู้ประกันตนมาตรา 33 ร่วมแสดงความคิดเห็น “ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงสุดที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …” เพื่อปรับปรุงเพดานค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนใหม่
โดยประเด็นสำคัญหลักๆ ของร่างกฎหมายที่นำมาเปิดรับฟังความคิดเห็นนั้น คือการปรับฐานค่าจ้างจาก 15,000 บาทอย่างค่อยเป็นค่อยไป สูงสุดไม่เกิน 23,000 บาท รวมถึงการจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นจากเดิมสูงสุด 750 บาทเป็น 1,150 บาท
ซึ่งที่มาของการปรับเพดานค่าจ้างเป็น 17,500–23,000 บาท นั้นก็มาจาก
1 .หลักการสากลในการกำหนดเพดานค่าจ้าง
*ค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ประกันตนทุกคน X 1.25 และควรปรับทุกปี
2. ปี 2565 ค่าจ้างเฉลี่ยผู้ประกันตน ม.33 = 18,400 บาท
*ดังนั้นควรปรับเพดานค่าจ้างเป็น 23,000 บาท
3. การปรับเพดานค่าจ้าง 1.25 เท่า ในทันทีอาจส่งผลกระทบ
*เนื่องจาก สปส. ไม่ได้มีการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงมากว่า 30 ปี จึงปรับแบบขั้นบันใด
2567–2569 = 17,500 (เปอร์เซ็นไทล์ที่ 75 ของ 23,000)
2570–2572 = 20,000
2573 เป็นต้นไป = 23,000
หากร่างกฎกระทรวงนี้ผ่าน กระทรงแรงงานตั้งเป้าว่าจะบังคับใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 หรือปีหน้าเป็นต้นไป โดยค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 33 แต่ละคนให้กำหนดขั้นต่ำ ขั้นสูง ตามรูปอินโฟกราฟฟิกประกอบที่ทาง BTimes ทำขึ้น เพื่อให้ลูกเพจได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ดังนี้
(1) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 เงินเดือน 17,500 บาทขึ้นไป จ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาท
(2) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2570 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 เงินเดือน 20,000 บาทขึ้นไป จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาท
(3) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2573 เป็นต้นไป เงินเดือน 23,000 บาทขึ้นไป จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาท
ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกันตนมาตรา 33 บางกรณีจะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่ม แต่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท จะไม่ได้รับผลกระทบด้วย โดยผู้ประกันตนจะนำส่ง “เงินสมทบ” 5% ของค่าจ้างตามจริงที่นายจ้างรายงาน ต่อสำนักงานประกันสังคม เช่น
กรณีค่าจ้าง
*เดือนละ 10,000 บาท ผู้ประกันตนจะนำส่งเงินสมทบ
*เดือนละ 500 บาท (10,000 x 5% = 500)
ทั้งนี้ ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้าง 15,000 ขึ้นไป มีประมาณ 37% ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะต้องส่งเงินสมทบเพิ่มจากการปรับเพดานค่าจ้าง แต่จ่ายอัตราเงินสมทบ 5% เท่าเดิม
กระทรวงแรงงานให้เหตุผลความจำเป็นในการปรับเพดานค่าจ้างว่า เพื่อต้องการให้สิทธิประโยชน์ (เงินทดแทนการขาดรายได้) พอเพียงกับการครองชีพในปัจจุบันของผู้ประกันตน กระจายรายได้ จากผู้มีรายได้สูงไปสู่ผู้มีรายได้น้อย และเป็นการเพิ่มโอกาสในการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นๆ ของแรงงานในระบบ
ส่วนข้อดีในเรื่องสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ หลังปรับขึ้นเพดานเงินสมทบ ที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับลูกจ้าง คือจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น เพราะฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะคำนวณจากค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ได้แก่
(1) เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
(2) เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ 70% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
(3) เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
(4) เงินสงเคราะห์กรณีตาย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
(5) เงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีว่างงาน 50% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
(6) เงินบำนาญชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้าง ส่วนผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มอีก 1.5% ทุกการส่งเงินสมทบครบ 12 เดือน
ส่วนเงินบำเหน็จชราภาพจะได้รับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากมีการนำส่งเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเพิ่มขึ้นจากการปรับฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบด้วย
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เห็นด้วยกับการปรับเพดานเงินสมทบประกันสังคมใหม่ โดยมองว่าลูกจ้าง ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจมีการปรับขึ้นเงินเดือน 200-300 บาท การจ่ายประกันสังคมเพิ่มเพียง 10 บาท/วัน เพื่อแลกมากับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นถือว่าคุ้มค่า ส่วนนายจ้างอย่างเอสเอ็มอีที่มีแรงงานไม่เกิน 500 คน ก็จ่ายเงินสมทบคิดเป็น 5,000 บาทต่อวัน ถือว่าไม่เป็นการเพิ่มภาระมากเกินไป แต่ประกันสังคมเองต้องชี้แจงให้ครบถ้วนถึงสิทธิประโยชน์ที่ลูกต้องจะได้กลับมาเพิ่มขึ้นแค่ไหน
ด้านฟากฝั่งของ ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุขคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กลับตั้งข้อสังเกตว่าการปรับขึ้นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม คิดว่าไม่น่าจะโปร่งใส และมีการศึกษามากน้อยเพียงใด ควรให้คนรับรู้ถึงเหตุผล มีการทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกันตน ก่อนจะปรับขึ้นในอีก 3–5 ปี ไม่ใช่เริ่มใช้เลยในปี 2567 เพราะถ้าในมุมลูกจ้างไม่อยากจ่ายก็ต้องจำใจจ่ายเพราะเป็นกฎหมายจึงไม่มีสิทธิเลือก ซึ่งเชื่อว่ายังมีหลายคนที่ไม่พร้อมจะจ่ายเพิ่มแน่นอน
“การจะปรับเพิ่มเงินสมทบ คิดว่าไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะทำกันเพียงแค่การเปิดรับฟังความคิดเห็น เพราะจะกระทบกลุ่มคนเปราะบางที่มีเงินเดือนน้อย หากถามฝ่ายนายจ้างก็ไม่มีปัญหา แต่หากไม่ไหวก็เลิกจ้างพนักงานก็เท่านั้น และคิดว่าเหตุผลการจะปรับขึ้นเงินสมทบมาจากปัญหาโควิด ทำให้คนว่างงาน 2-3 ล้านคนในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ค่าใช้จ่ายกองทุนประกันสังคมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องควรชี้แจงให้ชัดเจน” ผศ.ดร.สันติ กล่าว
ขณะที่นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่าการปรับเพดานเงินสมทบนี้มีการพูดคุยกันมานานแล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสำรวจความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ซึ่งยืนยันว่าเรื่องนี้ยังเป็นเพียงการขอความคิดเห็น และทำความเข้าใจถึงเหตุและผลที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่การวางกรอบเวลา และเพดานการจ่ายเงินต่างๆ ยังเป็นเพียงตุ๊กตา ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการจริง
เอาเป็นว่าต่อจากนี้บรรดาลูกจ้างมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าจะได้จ่ายเพิ่มหรือไม่เพิ่ม แต่ถ้าใครอยากเสนอแนะหรือมีข้อคิดเห็นกฎหมายฉบับนี้ ก็สามารถเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ระบบกลางกฎหมาย www.law.go.th ซึ่งจะปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 นี้แล้ว