ทุนจีนเฮโลแห่ลงทุนในไทย โค่นแชมป์ญี่ปุ่นในรอบ 28 ปี เม็ดเงินมหาศาลจะฉุดเศรษฐกิจออกหลุมได้จริง หรือจะได้ไม่คุ้มเสีย?

505
0
Share:

ทุนจีน เฮโลแห่ ลงทุนในไทย โค่นแชมป์ญี่ปุ่นในรอบ 28 ปี เม็ดเงินมหาศาลจะฉุดเศรษฐกิจออกหลุมได้จริง หรือจะได้ไม่คุ้มเสีย?

นับตั้งแต่ไทยเริ่มเปิดประเทศ พร้อมต้อนรับบรรดานักธุรกิจที่จะกำเงินมาลงทุนกิจการต่างๆ ในไทย ก็มีหลายอุตสาหกรรมทั้งรายเล็กรายใหญ่ทยอยตบเท้าเข้ามาหาลู่ทางทำเงินกันอย่างไม่ขาดสาย

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย (BOI) เปิดเผยว่า ในปี 2565 จีนกลายเป็นแหล่งลงทุนรายใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากการที่นักลงทุนจากจีนได้ทุ่มเม็ดเงิน 2.3 พันล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมสำคัญของไทย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และศูนย์ข้อมูล เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านี้ ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือเจโทร (JETRO) ยังระบุด้วยว่าในปี 2565 ที่ผ่านไป ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่กลายเป็นประเทศที่ลงทุนทางตรง หรือ FDI ในประเทศไทยมากที่สุด โดยมูลค่าการลงทุนของจีนแผ่นดินใหญ่แซงมูลค่าการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ครองแชมป์อันดับ 1 การลงทุนในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2537

ปีที่ผ่านมาบรรดานายทุนใหญ่จากจีนต่างก็ทยอยเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นจริงๆ สร้างบรรยากาศการลงทุนในบ้านเราให้ตื่นจากโควิดได้ดีไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง บีวายดี บริษัทผลิตรถไฟฟ้า 100% หรือรถบีอีวีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็เข้ามาลงทุนทางตรงกับธุรกิจรถไฟฟ้าในไทย โดยลงทุนซื้อที่ดิน 700 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอของเอกชนไทยที่จังหวัดระยอง เพื่อเตรียมผลิตรถไฟฟ้าในปี 2567 ด้วยกำลังผลิตปีละ 150,000 คัน รวมมูลค่าเม็ดเงินลงทุนกว่า 17,800 ล้านบาท และโครงการผลิตแบตเตอรี่ของบริษัท บีวายดี ออโต้ คอมโพเนนท์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 3,893 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองโปรเจกต์ได้รับการอนุมัติจากบีโอไอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อีกค่ายน้องใหม่จากจีนอย่าง เนต้า ออโต้ หรือบริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด แบรนด์สตาร์ทอัพในจีน ที่จับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์ในไทย โดยทางเนต้าจะเป็นผู้ลงทุนเทคโนโลยีและชิ้นส่วนในการผลิต เบื้องต้นเซ็นสัญญากัน 2 ปี คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปี 2567 แม้จะไม่มีการเปิดเผยดีล แต่ก่อนหน้านี้เนต้าได้ระดมทุนซีรีส์ D ของโฮซอน ออโต้ ปิดดีลที่ 500 ล้านดอลลาร์ โดยมี Qihoo 360 (ฉีหู่) บริษัทรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน เข้าลงทุนถึงกว่า 453 ล้านดอลลาร์

นอกจากสองค่ายนี้แล้วยังมีค่ายอื่นๆ เจ้าเดิมที่บุกเบิกอย่าง เอ็มจี ที่ลงทุนในบ้านเรานานแล้ว และยังมีธุรกิจอื่นๆ ทั้งผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อย่างหัวเว่ย และอาลีบาบา ต่างก็เข้ามาจับจองและลงทุนในไทยและอาเซียน เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังมีกำลังเติบโตได้ ยังไม่อิ่มตัว ซึ่งในไทยเอง หัวเว่ยมีการลงทุนสูงมาระยะหนึ่งแล้ว โดยที่ได้เลือกไทยเป็นพื้นที่สำคัญในการจัดสัมมนา ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศมาเข้าร่วม และยังเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลไทย โรงพยาบาล สถาบันการศึกษาในการทำดิจิทัลดิสรัปชั่น และฝึกอบรมบุคลากรและสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มในพื้นที่อาเซียน

ขณะที่อาลีบาบา ก็เพิ่งสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในไทยเมื่อปีที่แล้ว และจะใช้ 1 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลาสามปี เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับศูนย์ที่ใช้จัดการระบบค้าปลีก ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของอาลีบาบาด้วย

ยังไม่นับรวมไปถึงธุรกิจอสังหาฯ ที่ได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน การกลับมาของบรรดามหาเศรษฐีจีน ทำให้ธุรกิจอสังหาฯ ไทยฟื้นตัวเร็วขึ้น จากการเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดเพื่อการลงทุน หรือธุรกิจด้านสุขภาพ การแพทย์ต่างๆ ก็ถือว่าไทยเนื้อหอมไม่เบา

ถ้าพูดในภาษาวิชาการสวยหรูก็คือ ไทยควรกอบโกยองค์ความรู้ ทักษะ เทคโนโลยีการทำงานจากพี่จีน ด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจ เงินทุน กำลังคนที่ได้เปรียบกว่าไทยแทบจะทุกอย่าง การเข้ามาของจีนก็ถือเป็นกำไรกับไทยอยู่พอสมควรที่จะได้มีโอกาสรับการถ่ายทอดจากพี่ใหญ่ของเอเชีย ยังรวมไปถึงรายได้จากภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมการทำธุรกิจอื่นๆ ที่จะนำมาซึ่งเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ ก็นับเป็นผลดีกับไทยเห็นๆ

แต่นอกเหนือจากทุนจีนสีขาวมีเรื่องราวดีๆ ฉาบให้โลกลงทุนของไทยดูสดใส ดอกไม้ผลิบานแล้ว เวลานี้ยังมีสิ่งที่น่ากังวลใจนั่นก็คือการหลั่งไหลเข้ามาของ “กลุ่มทุนจีนสีเทา” หนึ่งในภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่หลายประเทศกำลังประสบปัญหา โดยที่ผ่านมาบ้านเรามีการพูดถึงการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของคนจีน มาทำธุรกิจหลายอย่าง เช่น เข้ามาซื้อบริษัท ตั้งรกรากในย่านรัชดา กทม. พัทยา ชลบุรี หรือเชียงใหม่ เมืองที่บรรดาเอกชนชูว่าเป็นหน้าเป็นตา เป็นที่ฮอตฮิตของทุนจีน ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะกลุ่มทุนเหล่านี้ทำธุรกิจแบบกินรวบ และยังซึมลึกเข้าถึงทุกแวดวง ทั้งการเมือง ธุรกิจ หรือแม้แต่บรรดาธุรกิจมืด ย่อมไม่ส่งผลดีต่อไทยแน่นอน

เรื่องที่น่าคิดอีกเรื่องก็คือ ไม่ว่าจะเป็นทุนจีนสีขาว สีเทา หรือหลากสีก็ตาม พวกเขากำลังรุกคืบขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคหรือแม้แต่ไทย ซึ่งนับวันจะมีเครือข่ายขยายอยู่ทั่วทุกวงการ จนซักวันจะกลายเป็นระบบทุนจีนที่ฝังลึกในสังคมไทยหรือไม่? …

BTimes