บิทคอยน์ สุดสวิงวิ่งฉิวทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 73,000 ดอลลาร์ ก่อนหล่นลงมาหลุด 69,000 ลุ้นจบรอบตลาดหมี ทะยานขึ้นหลังกระทิงได้ตอนไหน ?

1041
0
Share:

บิทคอยน์ สุดสวิงวิ่งฉิวทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 73,000 ดอลลาร์ ก่อนหล่นลงมาหลุด 69,000 ลุ้นจบรอบตลาดหมี ทะยานขึ้นหลังกระทิงได้ตอนไหน ?

เงินบิทคอยน์ช่วงนี้เริ่มกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจากที่ราคาขยับขึ้นลงไม่มาก อยู่ในโซนหมีจำศีลมานาน แต่นับตั้งแต่ต้นปี 2024 ราคาบิทคอยน์ก็ค่อยๆ ทยอยปรับขึ้น และทำลายสถิติ All Times High เหนือ 73,700 ดอลลาร์ ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้

ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้บิทคอยน์ ตื่นจากการจำศีลนั้น ก็มาจากการที่จะเกิด Bitcoin Halving หรือปรากฏการณ์ที่รางวัลจากการขุดบิทคอยน์จะลดลงเหลือครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี ซึ่งเป็นผลจากชุดคำสั่งที่ Satoshi Nakamoto ผู้ก่อตั้งฝังไว้ตั้งแต่พัฒนาระบบ หรือจะพูดง่ายๆ คือเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนบิทคอยน์ที่ได้จากการขุดจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งถ้านับในปี 2567 เหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว

รวมทั้งปัจจัยเกี่ยวกับเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นมูลค่ามากกว่า 48.54 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เยอะที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 คาดว่าเป็นผลมาจากปริมาณการซื้อขายกองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 7.69 พันล้านดอลลาร์ บวกกับความสนใจจากนักลงทุนรายย่อย เพื่อซื้อ Bitcoin สะสมก่อนหน้า Bitcoin Halving จนหนุนให้ราคาสามารถปรับสูงขึ้นได้เรื่อยๆ

คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เคยแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับราคาบิทคอยน์ในงานเสวนา “Digital Assets Navigator เจาะลึกวงในทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัล (by Bitkub’s Crypto Theses)” ไว้ว่าปีนี้เป็นปีที่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลมีความคึกคักและน่าจับตามอง เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นถึง 2 เรื่อง คือการประกาศอนุมัติให้ Bitcoin Spot ETF สามารถเปิดซื้อขายได้อย่างถูกกฎหมายของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ เมื่อมกราคมที่ผ่านมา โดยวงการคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับกองทุนระดับโลกต่างๆ ก็นับว่ามูลค่าของวงการคริปโทฯ ยังน้อยอยู่มาก แต่หากกองทุนที่เพิ่งได้อนุมัติ Bitcoin Spot ETF มีการซื้อขายบิทคอยน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่ากองทุน จะทำให้เงินสถาบันจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ มากยิ่งกว่ามูลค่าของตลาดทั้งหมดเสียอีก

และยังเป็นปีที่จะเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นเป็นรอบที่ 4 ในช่วงเมษายนนี้ ซึ่งตามสถิติในแต่ละรอบที่ผ่านมายังไม่เคยมีรอบไหนที่บิทคอยน์ทำ New High ก่อน Halving แบบรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวัง และคอยจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อย Bitcoin Spot ETF ก็ยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ว่ายังมีเงินสถาบันที่จะไหลเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในรอบนี้เพิ่มอีกด้วย

คุณจิรายุสบอกด้วยว่าจากการติดตามดูสถิติต่างๆ และตัวเลขแล้ว เชื่อว่าวงการคริปโทเคอร์เรนซียังมีโอกาสเติบโตได้อีก

ก่อนหน้านี้ เคยมีกูรูหรือบรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์หรือทำนายกันไว้มากมายเกี่ยวกับราคาบิทคอยน์ ที่จะสามารถไปต่อได้แค่ไหน หากผ่านปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ยกตัวอย่างเช่น นักวิเคราะห์คริปโทฯ ชื่อดัง Willy Woo กล่าวว่า ระดับของเงินทุนใหม่ที่ไหลเข้าสู่เครือข่าย Bitcoin (BTC) แสดงให้เห็นว่าสินทรัพย์คริปโทฯ อันดับต้นๆ กำลังอยู่ในตลาดกระทิงอย่าง “เต็มรูปแบบ”

Woo เคยโพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X ของเขาว่าเงินทุนไหลเข้ารายวันของบิทคอยน์เพิ่งแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับระดับของตลาดกระทิงเต็มรูปแบบครั้งล่าสุด ครั้งนี้ราคาควรจะพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิมมากเนื่องจาก กองทุน Bitcoin spot ETF กำลังเปิดช่องทางรับเงินทุนเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด

Woo เคยคาดการณ์ราคาสูงสุดของบิทคอยน์เอาไว้ที่ 337,000 ดอลลาร์ โดยใช้โมเดลราคาที่เขาสร้างขึ้นเอง โดยเขามองว่าราคาบิทคอยน์ในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น เมื่อเทียบกับราคาในช่วงเริ่มต้นของตลาดกระทิงรอบที่แล้ว โดยในรอบตลาดกระทิงครั้งก่อนบิทคอยน์ไม่สามารถแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 337,000 ดอลลาร์ได้ เนื่องจากมี “Paper BTC” หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาบิทคอยน์อยู่ในตลาดจำนวนมาก สัญญาเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถือครองบิทคอยน์จริง แต่สร้างแรงกดทับต่อราคา

CoinLedger บริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ภาษีคริปโทฯ ชื่อดัง ได้ออกมาคาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถพุ่งขึ้นไปแตะ 360,000 ดอลลาร์ได้ในอีกหนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่กำลังจะมาถึงนี้

CoinLedger ได้เปิดเผยข้อมูลของเหตุการณ์ Halving ในอดีตว่าราคาบิทคอยน์ในช่วง 3 เดือนหลังจาก Halving ในปี 2559 ได้เพิ่มขึ้นจาก 650 ดอลลาร์ ขึ้นมาอยู่ที่ 722 ดอลลาร์ ในขณะที่ในปี 2563 ราคาเหรียญก็ได้เพิ่มขึ้นจาก 8,572 ดอลลาร์เป็น 11,393 ดอลลาร์ ซึ่งการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของทั้งสองเหตุการณ์นี้อยู่ที่ประมาณ 21.95% และถ้าหากว่าการวิเคราะห์ของพวกเขาถูกต้อง 3 เดือนหลังจาก Halving เกิดขึ้นในปีนี้จะผลักดันให้ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นไปแตะ 84,145 ดอลลาร์

ขณะที่ข้อมูลในอดีตยังได้เปิดเผยอีกว่าในอีก 6 เดือนหลังจาก Halving ราคาบิทคอยน์ได้เพิ่มขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 67.73% ซึ่งถ้าหากว่าราคาบิทคอยน์เป็นไปตามแนวโน้มนี้ ราคาเหรียญอาจพุ่งขึ้นไปสูงถึง 115,733 ดอลลาร์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือจากการอ้างอิงข้อมูลในช่วงปี 2559 และ 2563 หรือหนึ่งปีหลังจากที่เหตุการณ์ Halving ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 423% ซึ่งถ้าหากว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ราคาบิทคอยน์จะพุ่งขึ้นไปมากถึง 361,152 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ในลักษณะดังกล่าวอาจไม่สามารถนำมาคำนวณสำหรับการคาดการณ์ในอนาคต เนื่องจากสภาวะตลาดที่แตกต่างกันอย่างมาก

ด้าน Samson Mow อดีต CSO ของ Blockstream และผู้ร่วมก่อตั้ง Jan3 ได้คาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์จะสามารถพุ่งขึ้นไปแตะ 1 ล้านดอลลาร์ได้ในเร็วๆ นี้

“ฉันคิดว่าปีนี้เราจะทะลุ 1 ล้านดอลลาร์… ถ้าไม่ใช่ภายในปีนี้ ก็ปีหน้าเลย แต่มันจะมาเร็วๆ นี้แน่ๆ” Samson Mow กล่าว

ส่วนธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดระบุถึงปัจจัยที่มีส่วนกระตุ้นให้บิทคอยน์พุ่งขึ้น ก็คือคาดการณ์ว่าการอนุมัติ Spot Bitcoin ETF จะดึงดูดให้นักลงทุนสถาบันเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี และจะทำให้มีเม็ดเงินราว 50,000–100,000 ล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่บิทคอยน์ในปีนี้ ซึ่งจะหนุนให้บิตคอยน์พุ่งแตะระดับ 200,000 ดอลลาร์ภายในปี 2568 โดยบิทคอยน์พุ่งขึ้นมากกว่า 150% ในปีที่แล้ว ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นเพียง 24%

คำทำนายของบรรดากูรู นักวิเคราะห์ ต่างก็เป็นไปในทิศทางบวกว่าถึงยังไงปีนี้ก็เป็นปีทองขาขึ้นอย่างแน่นอนของบิทคอยน์

แต่แล้วล่าสุด ราคาบิทคอยน์ก็ค่อยๆ ดิ่งลงมาอีกครั้ง ร่วงลงประมาณ 5.6% ดิ่งลงมาเคลื่อนไหวแถวๆ บริเวณ 67,000–68,000 ดอลลาร์ เคลื่อนไหว ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ไม่ห่างจากนี้มากนัก อาจทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการคริปโทฯ อาจจะใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่ไว้วางใจกับคำทำนายของกูรูซะแล้วก็เป็นได้

แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตาม ย่อมมีความเสี่ยง ยิ่งคริปโทฯ ยิ่งเสี่ยงสูง เพราะฉะนั้นคำตือนสุดคลาสสิคก็ยังคงใช้ได้กับนักลงทุนทุกตลาดเสมอ นั่นก็คือ “ขอให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน ต้องศึกษาให้เข้าใจและมีความพร้อมก่อนถึงจะลงมือลงทุนดีที่สุด”

และขออนุญาต นำคำพูดของคุณ จิรายุส มาอ้างอิงในบทความนี้ด้วยว่า
“แต่ละคนมีความพร้อม เงินทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เหมือนกัน นึกถึงคำที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้งที่เขาขว้างลูกมา แต่ให้ดูความพร้อมของตัวเองและรอจังหวะที่คุณพร้อม ดังนั้นทุกคนควรทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนให้ดีทุกครั้ง”

 

BTimes