กกร.หั่นยับทั้งเป้าจีดีพี – ส่งออกปีนี้

939
0
Share:

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ยังอยู่ในภาวะที่อ่อนแรงอย่างต่อเนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยหลักจากความเสี่ยงในต่างประเทศ ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และ การแข็งค่าของเงินบาททำให้การส่งออกยังคงหดตัวเป็นวงกว้างทั้งในรายการสินค้า และ ตลาดส่งออกหลัก ซึ่งกระทบต่อภาคการผลิต
.
ส่วนแรงขับเคลื่อนภายในประเทศก็แผ่วลง ทั้งการบริโภคและการลงทุน มีเพียงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอน กกร.จึงปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวการส่งออกในปี 2562 มาที่ -2 % ถึง 0 % จากเดิม -1 % ถึง 1 % และลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ลงมาเป็น 2.7-3.0% จากเดิม 2.9-3.3% ส่วนเงินเฟ้อปีนี้ยังคงเดิมที่ 0.8-1.2%
.
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการชิม ช้อป ใช้, มาตรการประกันรายได้สินค้าเกษตร, มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย คาดว่าจะเป็นแรงบวกและสามารถชดเชยผลกระทบจากปัจจัยกดดันภายนอกประเทศได้บ้าง แต่กกร. ก็คาดหวังว่าจะเห็นมาตรการเสริมจากภาครัฐเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการเร่งผลักดันกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ทั้งนโยบายการเงิน-การคลังเพื่อรับมือกับความท้าทาย โดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศ
.
สำหรับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเสียหายและกระทบต่อเศรษฐกิจ ประมาณ 20,000 – 25,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ก็จะมีผลกระทบจากความเสียหายของบ้านเรือนและพื้นที่เกษตร โดยจังหวัดอุบลราชธานีประสบปัญหาอุทกภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี จึงขอให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน เพื่อลดภาระและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาสู่สภาพปกติโดยเร็ว
.
ไม่ว่าจะเป็น การงดจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ทุกชนิด เป็นระยะเวลา 1 ปี แก่ผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย // การพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมธนาคาร สำหรับ SME ที่ประสบอุทกภัยที่ยังมีภาระหนี้อยู่กับสถาบันการเงิน และ สนับสนุนเงินทุนใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ให้มีเงินทุนหมุนเวียน ตลอดจนซ่อมแซมฟื้นฟูสถานประกอบการและ เครื่องจักร โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 1% หรือต่ำกว่า ระยะเวลา 2 ปี
.
ส่วนโครงการ ชิม ช้อป ใช้ ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านบาท สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.1-0.2 และหากจะขยายเฟส 2 ก็มองว่าเป็นเรื่องดี ซึ่งต้องรอประเมินหลายๆด้าน เพราะกลไกเศรษฐกิจต้องใช้เวลา แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจก็เป็นสิ่งที่สำคัญ