กกร.หั่น GDP ไทยปีนี้ติดลบ 3 – 5% จากผลกระทบโควิด 19

644
0
Share:

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ฉุดเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ซึ่งเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก หดตัวลงแทบทุกด้าน มีเพียงการใช้จ่ายของผู้บริโภคในหมวดสินค้าไม่จำเป็นที่ยังขยายตัวได้ คาดว่าเร็วๆนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส1 ซึ่งคาดว่าน่าจะติดลบกว่า 5%
.
ด้านการส่งออกที่รวมทองคำค่อนข้างทรงตัว และเมื่อมองต่อไปในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่สถานการณ์โควิด-19 ในเดือนเมษายนรุนแรงขึ้น ทั้งในไทยและต่างประเทศ ยิ่งสะท้อนภาพการหดตัวที่ลึกขึ้น จากผลกระทบที่ขยายเป็นวงกว้างทั้งในภาคบริการ ภาคการผลิต รวมทั้งการจ้างงานและกำลังซื้อของประชาชน แต่มาตรการของรัฐมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบได้ระดับหนึ่ง
.
อย่างไรก็ตามสถานการณ์โควิด-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย จนภาครัฐทยอยผ่อนปรนให้กิจการบางประเภทกลับมาเปิดให้บริการภายใต้แนวปฏิบัติที่ระมัดระวังโดยคงมาตรการ Social Distancing ไว้
.
แต่ด้วยสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การประกอบกิจการของภาคธุรกิจบนภาวะปกติใหม่ (New Normal) ยังเต็มไปด้วยความความท้าทาย และเศรษฐกิจหลักในโลกล้วนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และหลายประเทศสถานการณ์ยังไม่ยุติ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะถดถอยในปี 2563 ซึ่งจะเป็นแรงกดดันอย่างต่อเนื่องต่อการส่งออกและภาคการผลิตในไทย
.
ภายใต้สมมติฐานที่ไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศ กกร. มองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้นหรือฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะหดตัวน้อยลงจากในช่วงครึ่งปีแรก
.
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวในติดลบ 3-5% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 1.5-2% แต่ดีกว่าที่ IMF ประเมินไว้ว่าจะหดตัว -6.7% เนื่องจากภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ มีมาตรการเยียวยาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และคงคาดการณ์การส่งออกติดลบ 5-10% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ในกรอบติดลบ 1.5% ถึง 0%
.
ส่วนประเด็นของ CPTPP ขอให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในเนื้อหา และจุดยืนในการเจรจา ว่าประเทศจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง เพื่อจะได้เสนอข้อมูลให้ภาครัฐได้ทราบจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน