กรมรางเล็งขอยืดเวลาค่าโดยสาร 20 บาทสายสีแดง-ม่วง และขยายเพิ่มสายสีชมพู-เหลือง

140
0
Share:
กรมราง เล็งขอยืดเวลา ค่าโดยสาร 20 บาท สายสีแดง-ม่วง และขยายเพิ่มสายสีชมพู-เหลือง

นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่าปัจจุบันรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคม มีนโยบายลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งทางรางมากขึ้น โดยปรับลดอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 นำร่อง 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) (สายสีม่วง) ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และ โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต และช่วงบางซื่อ – ตลิ่งชัน โดยจำนวนผู้โดยสารก่อนเริ่มมาตรการเปรียบเทียบหลังเก็บ 20 บาทตลอดสาย พบว่า มีค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้โดยสาร ในช่วงวันทำงาน และช่วงวันหยุดเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดการณ์ และทำให้ประเมินตัวเลขที่รัฐต้องชดเชยรายได้ของทั้ง 2 สายที่ประมาณ 300 ล้านบาท/ ปี ก็จะลดลงไปด้วย

โดยกรมรางจะจัดเก็บข้อมูล เพื่อรายงานต่อกระทรวงคมนาคม ตัดสินใจก่อน วันที่ 16 ต.ค. 2567 ที่จะครบ 1 ปี เพื่อให้นโยบายพิจารณาว่าจะใช้มาตรการ 20 บาทต่อไปหรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่าในรอบปีต่อไป การชดเชยส่วนต่างรายได้จะลดลงจาก 300 ล้านบาท/ปี ตามสัดส่วนปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่งผ่านมา 3 เดือน หาก อีก 9 เดือน มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น เช่น 25% ค่าชดเชยจะลดลง 25% เป็นต้น ซึ่งกรมรางจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการพัฒนาปรับปรุงระบบฟีดเดอร์เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกและกระตุ้นให้ประชาชนมาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มคาดว่าจะเห็นผลในอีก 3 เดือนข้างหน้า

ขณะที่กรมรางมีแนวคิดในการขยายมาตรการ ค่าโดยสาร 20 บาท กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่จำนวนผู้โดยสารอยู่ในระดับ 4-5 หมื่นคน ไม่มากเกินไป โดยประเมินว่า รฟม.ยังสามารถนำรายได้ส่วนแบ่งจากสัมปทานสายสีน้ำเงิน มาชดเชยให้ สีเหลืองและสีชมพูได้ ซึ่งจะมีการหารือแนวทางกับกระทรวงคมนาคมในสัปดาห์หน้า ส่วน สายสีน้ำเงินมีผู้โดยสาร เฉลี่ยกว่า 3 แสนคน/วัน สายสีเขียวมี 7-8 แสนคน/วัน ผู้โดยสารค่อนข้างมาก ดังนั้นการชดเชยอาจจะทำลำบาก

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางรางยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 3 โครงการศึกษากำหนดอัตราค่าโดยสารขั้นสูง ค่าแรกเข้า และหลักเกณฑ์การขึ้นอัตราค่าโดยสารขนส่งมวลชนระบบราง ซึ่งจะนำเสนอข้อสรุปการศึกษาครั้งสุดท้าย และจะสรุปผลการศึกษาภายในเดือนก.พ. 2567 ก่อนนำเสนอกระทรวงคมนาคมต่อไป

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวในเวที เสวนา “โอกาสในการเข้าถึงการพัฒนาพื้นที่ กระจายความเจริญ จากนโยบายค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชนทางราง” ว่า รัฐควรกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าไม่เกิน 5-10% ของรายได้ขั้นต่ำและทำเป็นกลไกอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหลักสากลที่หลายประเทศใช้อีกทั้งไม่ต้องมีปัญหากับผู้ให้บริการ โดยไม่มีค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน มีเส้นทางครอบคลุมนอกจากนี้ ต้องให้ประชาชนเข้าถึงระบบได้ใน 15 นาที หรือ 500 เมตร และมีความถี่ไม่เกิน 15 นาทีในชั่วโมงเร่งด่วนและ ไม่เกิน 30 นาทีในช่วงนอกเร่งด่วน

ทั้งนี้ภาคประชาชนสนับสนุนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท โดยรัฐบาลทั่วโลกเป็นผู้ลงทุนขนส่งสาธารณะและไม่มีประเทศไหนที่ประชาชนจ่ายค่าโดยสาร 100% โดยรัฐไม่อุดหนุน เพราะระบบขนส่งมวลชน จะเป็นคุณภาพชีวิตของประชาชน ลดปัญหา PM2.5 ซึ่งในปี 2566 คนไทยป่วยไปโรงพยาบาลด้วยปัญหา PM2.5 ถึง 1.739 ล้านคน ซึ่วคิดเป็นค่าใช้จ่ายสาธารณสุบ 1.20 หมื่นล้านบาท ประชาชนเสียค่าเดินทางไปโรงพยาบาลและขาดรายได้ ราว 3,000-5,000 ล้านบาท