กระทรวงพาณิชย์ เผยยอดตั้งธุรกิจใหม่ ส.ค.โต 33% หลังกิจกรรมเศรษฐกิจเดินหน้า

218
0
Share:
กระทรวงพาณิชย์ เผยยอด ตั้งธุรกิจ ใหม่ ส.ค.โต 33% หลังกิจกรรม เศรษฐกิจ เดินหน้า

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2565 พบว่า มีผู้ประกอบการขอจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั้งสิ้นทั่วประเทศรวม จำนวน 7,418 ราย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 33 มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 24,393.41 ล้านบาท

ธุรกิจที่จัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 652 ราย รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 489 ราย และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 337 ราย และสำหรับสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 มีจำนวน 53,577 รายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2

โดยปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการกลับมาจดทะเบียนเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้การท่องเที่ยวฟื้นฟู และการเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวช่วงปลายปี ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ แนวโน้มของการจดทะเบียนจัดตั้งในแต่ละไตรมาส จะมีจำนวนการจดเบียนสูงสุดในช่วงไตรมาสแรก และจะลดลงในไตรมาสที่ 2 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาสที่ 3 ของทุกปี ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาถึงการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 3 ปีย้อนหลัง พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ จะมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลงในช่วงปลายปี และจากปัจจัยต่างๆ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจึงคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 68,000 – 72,000 ราย

สำหรับการลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนสิงหาคม 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 58 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 19 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 39 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 9,647 ล้านบาท เป็นผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น จำนวน 381 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด 3 สัญชาติแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 14 ราย เงินลงทุน 3,927 ล้านบาทรองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จำนวน 9 ราย เงินลงทุน 49 ล้านบาท และสิงคโปร์ จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 96 ล้านบาท ตามลำดับ