กรุงไทยประเมินเอลนีโญ ฉุดผลผลิตภาคเกษตรเสียหายกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท

311
0
Share:
กรุงไทย ประเมิน เอลนีโญ ฉุด ผลผลิตภาคเกษตร เสียหายกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท

Krungthai COMPASS ระบุว่า ปัญหา Climate Risk ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ได้สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตภาคเกษตรทั่วโลกอยู่ที่ราวปีละ 21,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 71.6 หมื่นล้านบาท) และคาดว่าในปี 2573 ความเสียหายในภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ปีละ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 502.5 หมื่นล้านบาท) ขณะที่ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก ทำให้ปัจจัย Climate Risk มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหา Climate Change และความเสี่ยงดังกล่าวเริ่มส่งผลกระทบต่อไทยชัดเจนมากขึ้น โดยจากข้อมูลจาก Global Climate Risk 2021 ชี้ว่าไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก จึงมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่สูงขึ้นกว่าปกติและสภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งภาคเกษตรเป็น Sector ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Climate Risk ชัดเจนกว่า Sector อื่น เนื่องจากมีสัดส่วนการใช้น้ำมากที่สุด เมื่อเทียบกับ Sector อื่นๆ โดยภาคเกษตรใช้น้ำคิดเป็นสัดส่วน 77% ของการใช้น้ำในแต่ละปีของไทย ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำในแต่ละปีของไทยอยู่ที่ราว 147,747 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็น การใช้น้ำสำหรับภาคเกษตรที่ 113,961 ล้าน ลบ.ม. (สัดส่วน 77% ของการใช้น้ำทั้งหมด) รองลงมา คือ การใช้เพื่อระบบนิเวศ 27,090 ล้าน ลบ.ม. (19%) การใช้เพื่อการท่องเที่ยวและอุปโภคบริโภคที่ราว 4,783 ล้าน ลบ.ม. (3%) และใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ราวปีละ 1,913 ล้าน ลบ.ม. (1%)

โดยภาคเกษตรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัวด้านการบริหารจัดการน้ำ อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกของไทยอยู่นอกพื้นที่ชลประทานถึง 78% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรมมากที่สุด

Krungthai COMPASS ระบุว่า Climate Risk มีแนวโน้มจะสร้างความเสี่ยงต่อภาคเกษตรไทยใน 2 มิติหลัก คือ 1. ความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพ (Physical risk) เช่น การเกิดภัยแล้งที่สร้างความเสียหายต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยในตลาดส่งออก 2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจ (Transition risk) เช่น ความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยในตลาดส่งออก จากการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของคู่ค้า รวมทั้งพัฒนาการของเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งความเสี่ยงจากผลผลิตสินค้าเกษตรที่เสียหายจากปัญหาภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และความเสี่ยงจากนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น จะเป็นความเสี่ยงที่จะเห็นได้ชัด และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยชัดเจนขึ้นในระยะ 1-2 ปีนี้

ปัญหา Climate risk ที่เห็นชัดเจนมากขึ้น คือ ภาวะเอลนีโญที่เกิดถี่ขึ้น ส่งผลให้เกิดภัยแล้ง และสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรไทย โดยก่อนที่จะเกิดเอลนีโญกำลังแรงในปี 2558-2559 นั้น ได้เกิดเอลนีโญในช่วงก่อนหน้า คือ ปี 2552-2553 หรือทิ้งช่วงประมาณ 5 ปี แต่หลังจากปี 2559 เกิดเอลนีโญอีกครั้ง คือ ปี 2562-2563 และ 2566-2567 หรือเกิดถี่ขึ้นเป็นทุก 3 ปี ปัจจัยได้กล่าวส่งผลทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรเสียหาย โดยในปี 2558 และ 2562 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหดตัวราว 5.7%YoY และ 4.7%YoY ตามลำดับ ดังนั้นภาวะเอลนีโญที่มีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้นจะยิ่งสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า

โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ อย่างข้าวนาปีที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงปลายปี 2566 รวมทั้งข้าวนาปรัง อ้อย และมันสำปะหลัง ที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดว่าข้าวจะได้รับความเสียหายเป็นหลัก เนื่องจากภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งรุนแรงเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญ โดยเฉพาะข้าวนาปรัง อีกทั้งเป็นพืชที่ทนแล้งได้น้อยกว่าอ้อย และมันสำปะหลัง คาดว่าจะทำให้ 3 พืชในภาคเกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย และมันสำปะหลังได้รับความเสียหายรวมกันอยู่ที่ราว 16,000-126,000 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์เอลนีโญ คาดว่าภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 ไปจนถึงกลางปี 2567 โดยผลผลิตข้าวนาปี อ้อย และมันสำปะหลัง คาดว่าจะได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 และจะทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 คาดว่าผลผลิตข้าว อ้อยและมันสำปะหลังจะได้รับความเสียหายพอสมควร จากปริมาณน้ำต้นทุนที่ลดต่ำลงมาก ส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายรวม 53,215 ล้านบาท

ทั้งนี้ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการลงทุนบริการจัดการน้ำ โดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่นอกชลประทานซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งค่อนข้างมาก, สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช และปศุสัตว์ ที่ทนแล้ง รวมทั้งสภาพอากาศที่มีแนวโน้มแปรปรวนมากขึ้น