กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/65 ต่ำกว่าคาด ปัจจัยเร่งต่างชาติขายหุ้นไทย 3.7 หมื่นล้าน

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเเผยว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย รายงานงบไตรมาส 4 ปี 2565 จำนวน 538 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ก.พ.) คิดเป็นสัดส่วน 92% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคมตลาด (มาร์เก็ตแคป) พบว่า ลดลง 35% เมื่อเทียบไตรมาส 3 ปีเดียวกัน (QoQ) และลดลง 45% เมื่อเทียบไตรมาส 4 ปีก่อน (YoY) และเป็นการลดลงแรงจาก 13 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่ขาดทุน คือ ปิโตรเคมี เหล็ก กลุ่มเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง อีกทั้งกำไรยังต่ำกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดถึง 40% นำไปสู่การปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงต่อเนื่องในช่วงเดือน มี.ค.นี้

ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก สภาวะเศรษฐกิจ หรือ GDP ในช่วงไตรมาส 4/65 แต่เศรษฐกิจไทยกลับเติบโตเพียง 1.4%yoy (ต่ำสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆ ในปี 2565) หลายเครื่องยนต์มีการหดตัวลง ทั้งจากอุปโภคภาครัฐ -8%YoY การส่งออก -10.5%YoY และการนำเข้า -4.6%YoY เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ระบุว่าในเดือน ก.พ. 2566 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงกดดันภายนอก ทั้งประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อสหรัฐที่ยืนระดับสูง และที่สำคัญคือการรายงานงบไตรมาส 4/65 ของบจ.ไทยที่ผิดจากที่ตลาดคาด (Negative Surprise) มากขึ้นเรื่อยๆ จาก -20% ขึ้นสู่ระดับปัจจุบัน -40% รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขึ้นมาเร็วถึง 5.2% นับจากต้นปี 2566 ส่งผลให้เป็นแรงกดดันให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.พ. นี้สูงกว่าปกติ ถึง 1.1 พันล้านเหรียญ หรือ 3.7 หมื่นล้านบาท หรือตลาดหุ้นไทยถูกขายสุทธิสูงสุดในภูมิภาคในเดือน ก.พ. และอีกมุมหนึ่ง คือ เป็นเดือนที่ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2563 หรือช่วงเกิดโควิด-19 ในระยะแรกๆ

ล่าสุดฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ของบจ.ลงจาก 1.27 ล้านล้านบาท เป็น 1.12 ล้านล้านบาท และปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 (EPS66F) ลดลงจาก 99.2 บาทต่อหุ้น เหลือหุ้นละ 91.8 บาท เมื่อคูณกับราคาปิดต่อกำไร (พี/อี โรโช) 17.54 เท่า (ที่คำนวณจาก MEYG 4.2% ภายใต้ดอกเบี้ยนโยบาย 1.5%) ได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 1,610 จุด