ครึ่งปีหลังเห็นแววต่างชาติเที่ยวไทยเพิ่มกว่า 28 ล้านแต่ยอดใช้จ่ายไม่ฟื้นเท่าก่อนโควิด

167
0
Share:
ครึ่งปีหลังเห็นแวว ต่างชาติ เที่ยวไทย เพิ่มกว่า 28 ล้านแต่ยอดใช้จ่ายไม่ฟื้นเท่าก่อนโควิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยการคาดการณ์การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย พบว่า การฟื้นตัวยังต่ำกว่าก่อนเกิดการระบาดโรคโควิด-19 แม้ครึ่งปีหลังจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่อการเดินทางหนึ่งครั้งยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19

สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดชาวต่างชาติเที่ยวไทยยังฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง และทั้งปี 2566 น่าจะมีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 28.5 ล้านคน แต่การท่องเที่ยวยังมีหลายโจทย์ที่ยังเป็นอุปสรรค ได้แก่ ความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินที่ยังมีข้อจำกัด และยังต้องใช้เวลา การปรับรูปแบบการยื่น E-Visa ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น

โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งคงต้องให้เวลาผู้ประกอบการในการปรับตัวและสร้างความคุ้นชินกับระบบการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงยังต้องติดตามปัญหาระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจมีผลต่อการฟื้นตัวของตลาดในช่วงที่เหลือของปี

ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและที่พักยังมีโจทย์ท้าทายรออยู่ แม้ประเมินว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท แต่การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่อทริปยังต่ำกว่าก่อนการระบาดของโรคโควิด

ขณะที่การฟื้นตัวของธุรกิจยังไม่ทั่วถึงและยังกระจุกตัวแต่เมืองท่องเที่ยวหลัก และที่สำคัญต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้น โดยเฉพาะด้านแรงงานที่ไม่เพียงแต่ค่าแรงที่ปรับสูงขึ้นยังต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าโจทย์สำคัญของภาคการท่องเที่ยวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ ในระยะสั้น คงจะได้แก่ การดูแลประเด็นต้นทุนการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะต้นทุนแรงงาน ประเด็นต้นทุนแรงงานของธุรกิจท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่คาอยู่มาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งและคงเป็นโจทย์ต่อเนื่องหลังจากนี้ไม่ว่าค่าแรงขั้นต่ำจะถูกปรับขึ้นตามนโยบายที่พรรคการเมืองได้หาเสียงไว้แล้วหรือไม่ก็ตาม

แรงกดดันนี้มาจากทั้งปริมาณแรงงานที่ต้องเติมเพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจ และความคาดหวังของแรงงานว่าจะได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น ถึงแม้ว่าธุรกิจอาจจะไม่ได้จ้างแรงงานอิงตามค่าแรงขั้นต่ำทั้งหมดก็ตาม ดังนั้น การเร่งพัฒนาผลิตภาพแรงงาน จึงเป็นสิ่งจำเป็น

รัฐบาลชุดใหม่อาจพิจารณาแนวทางการให้แรงจูงใจด้านภาษีหรืออื่นๆ หากผู้ประกอบการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานได้มากกว่าอัตราการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ธุรกิจมีการปรับใช้เทคโนโลยีได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ เป็นต้น