ความเชื่อมั่น SME ต.ค.ปรับขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 3 ท่องเที่ยวไฮซีซั่นหนุน

189
0
Share:
ความเชื่อมั่น SME ต.ค.ปรับขึ้นต่อเนื่องเดือนที่ 3 ท่องเที่ยว ไฮซีซั่นหนุน

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) ประจำเดือนตุลาคม 2565 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ค่าดัชนี SMESI อยู่ที่ระดับ 53.1 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.9 และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งมีปัจจัยบวกมาจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเป็นสำคัญ อีกทั้งราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่งผลดีต่อกำไรของภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตามเริ่มมีสัญญาณการทรงตัวของกำลังซื้อ โดยเฉพาะภาคการค้าที่มีความเชื่อมั่นชะลอตัวลง

ทั้งนี้องค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลให้ค่าดัชนี SMESI เดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น ได้แก่ องค์ประกอบด้านกำไรและต้นทุน ที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 57.4 และ 41.5 จากระดับ 54.8 และ 38.7 ตามลำดับ เมื่อพิจารณารายภาคธุรกิจ พบว่า ภาคการบริการและภาคการผลิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 55.7 และ 51.3 จากระดับ 53.7 และ 49.3 ตามลำดับ ซึ่งมีผลมาจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงของที่ระลึก ยาดม ยาหอมที่เป็นที่นิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจขยายตัว ส่วนภาคการค้าและภาคการเกษตรชะลอตัวลง อยู่ที่ระดับ 51.8 และ 50.2 จากระดับ 53.0 และ 53.7 ตามลำดับ โดยภาคการค้าส่วนหนึ่งมาจากยอดเงินกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ใกล้หมดลง รวมทั้งต้นทุนราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเฉลี่ยต่อครั้งลดลงทำให้รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ภาคการเกษตรชะลอตัวเนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกหลายแห่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตในรอบการผลิตทำได้น้อยลง และผู้ประกอบการยังกังวลกับราคาปุ๋ยที่คงตัวอยู่ในระดับสูง

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 53.7 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ระดับ 54.6 จากการคาดการณ์ค่าครองชีพอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลต่อกำลังซื้อ อย่างไรก็ตามทุกภาคธุรกิจยังมีความความเชื่อมั่นเกินค่าฐาน 50 สะท้อนว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นต่อธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยวที่เป็นช่วง High season ทุกภูมิภาค

ผู้ประกอบการ SME เกือบร้อยละ 50 มองว่าในปี2566 ราคาสินค้า วัตถุดิบจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง รองลงมา SME ร้อยละ 38.7 มองว่า ราคาสินค้า/ วัตถุดิบจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ประมาณร้อยละ 1-10 โดยส่วนใหญ่มองทิศทางภาวะธุรกิจจะดีขึ้นในปี 2566 ตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่วนผู้ประกอบการที่มองว่าภาวะธุรกิจจะทรงตัวจากความผันผวนหลายปัจจัยทั้งราคา รายได้และสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนที่มองว่าจะแย่ลง โดยปัจจัยกระทบสำคัญมาจากราคาสินค้า/ วัตถุดิบที่จะฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภค สำหรับปัจจัยกระทบทางลบที่ผู้ประกอบการกังวลว่าจะส่งผลต่อธุรกิจมากที่สุดคือ ด้านกำลังซื้อและรายได้ที่ชะลอตัว และราคาสินค้า/ วัตถุดิบแพง โดย SME บางรายคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวในสัดส่วนที่มากกว่าร้อยละ 80

หากภาวะเศรษฐกิจเกิดความผันผวนในปี 2566 ผู้ประกอบการมีแผนการรับมือในด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายโดยการ (ปรับเพิ่มราคาขาย/ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น) ซึ่งแนวทางดังกล่าวอาจส่งผลต่อความต้องการซื้อทั้งจากภาคธุรกิจและภาคประชาชน แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการร้อยละ 55.3 ยังคงมีความคาดหวังว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าปี 2565 โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การกระตุ้นกำลังซื้อ ซึ่งมาตรการเพิ่มกำลังซื้อเดิมที่ SME ต้องการให้มีการดำเนินการต่อเนื่อง คือ โครงการกระตุ้นการใช้จ่าย (โครงการเราชนะและคนละครึ่ง) รองลงมาคือ การให้ความช่วยเหลือในการลดภาระต้นทุนและค่าใช้จ่าย มาตรการเงินเยียวยาธุรกิจ โดยต้องการได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจและครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจมากขึ้น