ช็อกธนาคารสัญชาติไทย 3 อันดับแรก มีหนี้เสียสูงสุดในกลุ่มอาเซียน รวมกว่า 3 แสนล้านบาท
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเปิดเผยรายงาน Capital Market Snapshot ในหัวข้อ “Aspects in Stability of Banking Industry in ASEAN” ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานะหนี้สิน ภาวะเงินฝาก และความเสี่ยงของเงินกู้ในภาคธนาคารพาณิชย์ของทั้งประเทศไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน มีดังนี้
1. สิงค์โปร์มีสัดส่วนบัญชีลูกหนี้และเงินฝากจากลูกค้า (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) เมื่อเทียบกับ GDP มากที่สุดอยู่ที่ 228.4% และ 286.9% ส่วนไทย เวียดนาม และมาเลเซีย มีสัดส่วนลูกหนี้และเงินฝากในระดับที่ใกล้เคียงกันเมื่อเทียบกับ GDP ของแต่ละประเทศ
2. ไทยมีเงินฝากจากธนาคารสูงสุด เมื่อเทียบกับ 6 ประเทศอาเซียน จำนวน 55,399 ล้านดอลลาร์ หรือ 17% ของ GDP
3. มูลค่ารวมของหนี้ NPL ของ 3 ธนาคารอันดับแรกของไทย มีค่ามากกว่า 9.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.69% ของหนี้ทั้งหมด ส่วนมูลค่ารวมของหนี้ NPL ของธนาคาร 3 อันดับแรกของประเทศฟิลิปปินส์ มีค่ามากกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 1.23% ของหนี้ทั้งหมด และมูลค่ารวมของหนี้ NPL ของธนาคาร 3 อันดับแรกของประเทศอินโดนีเซีย มีค่ามากกว่า 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 1.21% ของหนี้ทั้งหมด
4. ภาพรวมธนาคารไทย มีสัดส่วนหนี้ที่มีปัญหา 4% ของหนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันมีการสำรองเงินเผื่อหนี้สูญในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนธนาคารในประเทศเวียดนามมีแนวโน้มการเติบโตของการปล่อยกู้มากขึ้น อย่างไรก็ดีพบเงินสำรองหนี้สูญในปี 2553 ติดลบสูงถึง -25.68% หลังจากนั้นจำนวนเงินสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับติดลบอยู่
5. สัดส่วนบัญชีเงินฝากระยะสั้นของไทย (น้อยกว่า 1 ปี) มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560
6. ในปี 2564 ประเทศสิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้าน Economic Risk ต่ำที่สุด และภาคธุรกิจธนาคารยังเป็นประเทศที่มีการปล่อยสินเชื่อ และเงินฝากจากลูกค้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศ
7. ธนาคารที่มีการดำเนินงานในประเทศมาเลเซีย มีจำนวนธนาคารมากที่สุดถึง 311 ธนาคาร ขณะที่ธนาคารในประเทศไทยมีจำนวนน้อยที่สุดคือ 58 ธนาคารเท่านั้น เมื่อเทียบกับ 6 ประเทศในกลุ่มอาเซียน
8. ประเทศฟิลิปปินส์มีเงินฝากระยะสั้นประมาณ 60% แต่เป็นประเทศที่มีจำนวนเงินฝากน้อยที่สุด และสัดส่วนหนี้ต่อเงินฝากตทำที่สุดใน 6 ประเทศในกลุ่มอาเซียน