ซีเอ็นเอ็นไล่ออกพนักงานไม่ฉีดวัคซีน สหรัฐติดรายใหม่กว่า 123,000 เฉลี่ย 7 วันดันยอดติดต่อวันพุ่งเกิน 100,000 ราย

349
0
Share:

นายเจฟฟ์ ซัคเกอร์ ประธานสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ซีเอ็นเอ็นมีคำสั่งไล่ออกพนักงานจำนวน 3 คนที่ยังไม่ได้ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 สาเหตุจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้กำหนด และแจ้งนโยบายให้กับพนักงานมาเป็นการล่วงหน้าว่า ซีเอ็นเอ็นมีกฎระเบียบในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งในพนักงานทุกคน และในองค์กร ด้วยการให้พนักงานทุกคนไม่ว่าจะทำงานภายในสำนักงาน หรือไปปฏิบัติงานนอกสำนักงาน ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 หากพนักงานฝ่าฝืนกฎระเบียบที่เข้มงวดดังกล่าว จะถูกคำสั่งไล่ออกจากซีเอ็นเอ็นมีผลทันที ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าววอชิงตันโพสต์ได้ประกาศกฎระเบียบในลักษณะบังคับเช่นเดียวกัน รวมถึงวอลท์ ดิสนีย์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศให้พนักงานทุกคนต้องรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ CDC เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดทั้งสหรัฐอเมริกาในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมาถึงวันที่ 5 สิงหาคม(ตามเวลาในสหรัฐ) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่มากถึง 123,821 ราย ไม่เพียงทำสถิติติดเชื้อรายวันมากที่สุดในรอบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ยังเป็นยอดติดเชื้อรายวันมากกว่าวันละ 100,000 รายเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ส่งผลต่อยอดติดเชื้อสะสมเป็น 36,304,620 ราย ขณะที่พบผู้เสียชีวิตรายใหม่เพิ่มขึ้น 559 ราย ส่งผลยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 631,879 ราย

เมื่อนับถึงวันที่ 5 สิงหาคม(ตามเวลาสหรัฐ) แนวโน้มการติดเชื้อเฉลี่ยรายวันในแต่ละสัปดาห์เมื่อมองจาก 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เริ่มจากเมื่อ 4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ มีจำนวนเฉลี่ยวันละ 16,219 ราย ถัดมา 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้เฉลี่ยเพิ่มเป็น 28,903 ราย ต่อมาอีก 2 สัปดาห์ก่อนนี้มีจำนวน 44,987 ราย และสัปดาห์ก่อนหน้านี้เพิ่มสูงเป็น 71,072 ราย ขณะนี้ในวันนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 101,484 ราย

สำหรับจำนวนผู้ป่วยโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้น มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง โดยขึ้นมาอยู่ที่ 61,000 ราย ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือนผ่านมา หรือนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564

รัฐฮาวาย รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พุ่งสูงถึง 655 ราย ทำสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันมากเป็นประวัติการณ์ หรือนับตั้งแต่พบการระบาดในรัฐฮาวายเป็นต้นมา ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม รัฐฮาวายตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 452 ราย ในวันนั้นได้กลายเป็นสถิติติดเชื้อรายวันมากเป็นประวัติการณ์ แต่ในที่สุด ถูกทำลายสถิติลงในรอบ 24 ชั่วโมงผ่านมา สาเหตุจากรัฐฮาวายตรวจพบสายพันธุ์เดลต้า หรืออินเดีย แพร่ระบาดมากขึ้นต่อเนื่อง

เมื่อวานนี้ 5 สิงหาคม 2564 นายนูรี่ มาร์ติเนส ประธานสภา และนายมิทช์ โอ ฟาร์เรล สมาชิกสภานครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เตรียมเสนอให้ประชาชนในลอสแองเจลิสต้องแสดงเอกสารผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ถึงแม้ว่าจะได้รับการฉีดอย่างน้อย 1 เข็ม ทุกครั้งเมื่อเข้าใช้บริการ หรืออยู่ในสถานที่สาธารณะต่างๆในนคนลอสแองเจลิส เช่น ร้านอาหาร บาร์ ร้านค้าปลีก ยิมส์ สปา โรงภาพยนตร์ สนามกีฬา และสถานที่จัดคอนเสิร์ต ส่งผลให้นครลอสแองเจลิสกลายเป็นเมืองที่ 2 ต่อจากเมืองนิวยอร์ค ที่เตรียมเสนอมาตรการดังกล่าว

ด้านสมาคมโรคติดเชื้อระบาดแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ IDSA เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า หรืออินเดีย ส่งผลให้เกณฑ์ในการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ต้องเพิ่มเป็น 80% หรือ 90% ของประชากรทั้งสหรัฐอเมริกา จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 70% เท่านั้น สาเหตุจากสายพันธุ์เดลต้ามีอัตราการแพร่ระบาดสูงถึง 2 เท่า นายริชาร์ด ฟรังโก้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยอลาบาม่า วิทยาเขตเบอร์มิงแฮม กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า สายพันธุ์เดลต้ามีอันตรายสูงมาก ขณะที่การเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกานั้น ศูนย์ CDC เปิดเผยว่า ข้อมูลเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม เกือบ 60% ของประชากรชาวอเมริกันได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส และ 50% ได้รับการฉีดครบโดส ซึ่งนั่นหมายถึงมากกว่า 165 ล้านคน

ดร.พอล ออฟฟิท กรรมการคณะกรรมการที่ปรึกษาเวชภัณฑ์เกี่ยวข้องวัคซีน และคณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ให้ครบ 80% เพื่อที่จะเปิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างแท้จริง ถ้าหากในภาพรวมมีสัดส่วนการฉีดครอบคลุม 70-80% แต่ในชุมนุมของแต่ละรัฐกลับมีสัดส่วนฉีดวัคซีนครอบคลุมเพียง 40% หรือ 50% ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ข้อมูลถึงวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคมผ่านมา พบว่า สหรัฐอเมริกามีการฉีดวัคซีนในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่เฉลี่ยวันละ 660,000 โดส ซึ่งเพิ่มขึ้นขึ้น 14% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ แต่ยังต่ำกว่าสถิติฉีดมากสุดเป็นประวัติการณ์ที่เฉลี่ยมากกว่าวันละ 3 ล้านโดสในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกๆ 1 ใน 3 รายที่ติดเชื้อมาจากรัฐฟลอริดาและเท็กซัส นอกจากนี้ ยังพบว่า 17% ของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มาจาก 7 รัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลถึงวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พบว่าสหรัฐอเมริกาสามารถฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มครอบคลุมถึง 70% ของจำนวนประชากรแล้ว ซึ่งล่าช้าถึง 1 เดือนจากเป้าหมายของประธานาธิบดีสหรัฐที่กำหนดไว้ว่าภายใน 4 กรกฎาคม หรือในวันชาติสหรัฐจะต้องฉีดให้ครบ 70%

สาเหตุจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า หรืออินเดียในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องรวมถึงในรัฐฟลอริดาด้วย โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม รัฐฟรอริดามีจำนวนติดเชื้อรายวันต่ำสุดเกือบ 1,000 ราย กลับพุ่งทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาสร้างสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ในวันสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ อัตราการติดเชื้อในรัฐฟลอริดาพุ่งสูงถึง 18.1% ซึ่งสูงมากกว่า 2 เท่าของอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาที่ 7.8%

ขณะนี้ รัฐฟลอริดาซึ่งเป็นรัฐที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา ทำสถิติเป็นรัฐที่มีสัดส่วนกว่า 1 ใน 5 หรือ 20% ของจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพบว่าใน 7 วันก่อนสัปดาห์นี้ ฟลอริดามีจำนวนผู้ติดเชื้อ 110,477 ราย ขณะที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อพกิ้นส์ ในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อ 545,000 ราย นอกจากนี้ อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่รัฐฟลอริดามากกว่า 50% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้น

ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม (ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา) พบว่า มีการฉีดอย่างน้อย 1 เข็มถึง 58.18 % และฉีดครบโดสถึง 49.88%